แม้ Mercedes-AMG C63 S จะพึ่งมีการเปิดตัวร่างปี 2024 ไปได้เพียงเดือนนิดๆเท่านั้น แต่ทางค่ายก็ไม่รอช้า รีบเปิดร่างพิเศษ “F1 Edition” ของมันออกมาแทบจะในทันที เพื่อเอาใจลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการเพียงความแรงเท่านั้น แต่ยังอยากได้หน้าตาของตัวรถที่สื่อถึงความเป็นรถแข่งสูตรหนึ่งอีกด้วย

Mercedes-AMG C63 S : F1 Edition มาพร้อมจุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดตั้งแต่งานตกแต่งภายนอก ด้วยการใช้ตัวถังเฉดสี Manufactur Alpine Grey Uni ซึ่งจะเป็นเฉดสีเทา แล้วมีการไล่ระดับเพิ่มความเข้มขึ้นเรื่อยๆช่วงครึ่งล่าง และมีการแทรกด้วยลายน้ำ AMG ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นแรงบันดาลใจเดียวกันกับตัวแข่ง Formula 1

แต่เพื่อเพิ่มความดุดัน ประกอบกับการที่ทาง Petronas ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับรถที่ทำไว้เพื่อขายจริง จึงทำให้ทาง AMG เลือกตกแต่งมันด้วยการแซมเส้นสีแดง แทนสีฟ้าเข้าไปตามชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลโก้รุ่นทางด้านท้าย, ขอบสเกิร์ตรอบคัน, และชุดล้ออัลลอยด์ฟอร์จขนาด 20 นิ้ว

และหากคุณลองสังเกตเพิ่มให้ดี ก็จะพบว่าชุดสเกิร์ตของแดงรอบคันที่ติดรถมา แท้จริงแล้วไม่ใช่ของติดรถรุ่นดั้งเดิม แต่เป็นของแต่งเสริมจากแพ็คเกจ AMG Aerodynamics ที่ใส่มาให้ตัวรถรุ่นพิเศษคันนี้ตั้งแต่ออกโรงงาน ไม่ต้องซื้อแยก ซึ่งมันก็จะประกอบไปด้วย ชุดสปลิตเตอร์หน้า, สเกิร์ตข้าง, สเกิร์ตหลัง, ดิฟฟิวเซอร์, และสปอยเลอร์หลัง

นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมแพ็คเกจเสริมติดรถอย่าง  AMG Night Package I และ II เข้าไปอีก ซึ่งจะประกอบไปด้วยชิ้นส่วนปัดเงาสีดำเข้มอีกหลายรายการ เช่น กระจังหน้า, โลโก้แบรนด์, และปลายท่อไอเสียแบบออก 4 รู

ส่วนงานตกแต่งภายในเอง ก็จะเน้นการตกแต่งด้วยโทนหนังสีแดง-ดำ แต่จะเพิ่มความโดดเด่นเข้าไปอีกด้วย สายรัดเข็มขัดนิรภัยสีแดง, หัวหมอนเบาะนั่งปั๊มโลโก้ AMG, ชิ้นงานตกแต่งคอนโซล เป็นงานคาร์บอนสีแดง, เพลทโลโก้ “Edition” แปะบนคอนโซลฝั่งผู้โดยสาร, และพรมรองเท้าปักลายประจำรุ่น

ทั้งนี้ ในส่วนรายละเอียดทางเทคนิคของตัวรถนั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก C63 S รุ่นดั้งเดิมใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากเพียงแค่นั้นก็ถือว่าแรงพอแล้ว ด้วยเครื่องยนต์ M139 แบบเบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จไฟฟ้า แล้วยังจับคู่กันทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ปลั๊กอิน-ไฮบริด จนเค้นพละกำลังสูงสุดรวมกันได้ 680 แรงม้า PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 1,020 นิวตันเมตร

โดยที่ระบบขับเคลื่อนก็ยังคงเป็นแบบ 4 ล้อ AWD ที่จะเน้นการขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลักก่อนในสภาวะปกติ และควบคุมด้วยระบบสมองกล 4Matic+ ส่วนระบบเกียร์ก็แน่นอนว่ายังคงเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดก็จะถูกอัพเกรดให้ล็อคเอาไว้ที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาตั้งแต่แรก

ทั้งนี้ในส่วนของตัวเลขราคาสำหรับการวางจำหน่ายตัวรถรุ่นนี้ ทาง Mercedes-AMG ยังไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆเอาไว้ทั้งสิ้น และในขณะเดียวกัน มันจะถูกตัดสต็อคมาวางจำหน่ายให้ชาวไทยได้สัมผัสกันหรือไม่ ? ก็ยังคงต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่