นับตั้งแต่ Ford Mustang Mach-E ถูกเผยโฉมออกมา มันก็ถูกชาว Mustang ค่อนขอดมาโดยตลอดว่ามันไม่สมควรจะใช้ชื่อม้าป่าเลยสักนิด ด้วยหน้าตาและสมรรถนะที่ไม่ได้มีความเป็นรถมัสเซิลคาร์เลยแม้แต่น้อย

ทว่าหากไม่นับเรื่องความเป็นมัสเซิลคาร์ เจ้า Mustang Mach-E ก็ถือเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่สร้างความโดดเด่นให้กับทาง Ford อยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะมันสามารถสร้างยอดขาย และตอบโจทย์ลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการรถครอสโอเวอร์ ขุมกำลังไฟฟ้า 100% ได้เป็นอย่างดี และมันดีจนถึงขั้นสามารถรักษาชีวิตของ Mustang ตัวจริงยังคงมีรุ่นต่อไปได้เลยทีเดียว

กล่าวคือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหล่าภาครัฐของประเทศใหญ่ๆทั่วโลก จะมีการคิดเครดิตในการผลิต และวางจำหน่ายยานพาหนะไร้มลพิษกับเหล่าผู้ผลิตทั้งหลาย ซึ่งหากใครทำยอดขายรถยนต์เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถไฟฟ้าได้มากพอ ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ เมื่อเทียบกับการขายรถยนต์ซึ่งสร้างมลพิษ (รถขุมกำลังสันดาปภายใน)

พวกเขาก็จะได้โอกาสในการทำตลาดรถยนต์ของค่ายในประเทศของตนต่อไป

แต่เพื่อไม่ให้เป็นการบีบเหล่าผู้ผลิตที่ยังไม่พร้อมสำหรับการทำรถไฟฟ้ามากไป ภาครัฐที่ใช้ข้อบังคับนี้ ก็ยังคงอนุญาตให้ผู้ผลิตที่สะสมเครดิตไม่พอ สามารถซื้อเครดิตจากผู้ผลิตที่มีเครดิตเกินข้อกำหนด (อย่างเช่น Tesla ซึ่งผลิตแต่รถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ไปเป็นของตนเองได้

ทว่าหากลองสังเกตเงื่อนไขดังกล่าวดีๆ ก็จะพบว่าหากคุณเป็นผู้ผลิตที่ไม่มีรถไฟฟ้าขาย เพื่อสะสมเครดิตเลย แทนที่คุณจะมีเงินไว้เอาไปวิจัยรถไฟฟ้าเพื่ออกมาขาย ก็กลายเป็นคุณจะต้องเสียงบให้กับบริษัทอื่น เพื่อซื้อเครดิตมาเป็นของตนเองเสียอีก

ซึ่งนั่นก็จะยิ่งทำให้งบร่อยหรอ จนบางแบรนด์เลือกที่จะตัดการทำตลาดรถยนต์ขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในบางรุ่นของตนเองทิ้งไป โดยเฉพาะกับรถที่ปล่อยมลพิษมากๆ แต่ขายได้น้อย อย่างเหล่าสปอร์ตคาร์ทั้งหลาย

แน่นอน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการพัฒนา Mustang เจเนอเรชันที่ 7 ในช่วงคาบเกี่ยวและพิจารณาว่าทางค่ายควรจะพัฒนามันต่อไปหรือไม่ ? เพราะถ้าพวกเขาไม่สามารถสะสมเครดิตได้มากพอ พวกเขาก็ต้องเสียโอกาสในการทำตลาดรถยนต์ของแบรนด์ในบางประเทศไป หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมเสียเงินให้กับผู้ผลิตอื่นโดยใช่เหตุ

แต่ด้วยยอดขายของ Mach-E ที่พุ่งพรวดในทันที นับตั้งแต่วางขายเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2020 จึงทำให้ไม่ใช่แค่ทาง Ford จะมีกำไรมากพอในการนำมาพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ๆ อย่าง Mustang หรือรวมถึง Raptor R เท่านั้น แต่ยังทำให้ทางค่ายมีเครดิตการขายรถไร้มลพิษมากพอ ที่จะทำรถแรงๆเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ ว่าจะถูกภาครัฐหลายๆแห่งบีบอีกด้วยนั่นเอง

“สำหรับ Mustang Mach-E กับรูปแบบที่เราสร้างมัน, มันทำให้เราสามารถสร้างเจ้ารถคันนี้ (Mustang รุ่นใหม่ล่าสุด) ขึ้นมาได้”, “ขณะที่คู่แข่งยังต้องซื้อเครดิตจากข้อกำหนดทางด้านมลพิษ, แล้วพวกเค้าก็ไม่สามารถทำรถแบบนี้ออกมาได้เลย” Jim Farley ผู้บริหารสูงสุดของ Ford กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNBC

โดยหากกล่าวถึงคู่แข่งของ Ford Mustang ณ ตอนนี้ก็ถือว่าเหลือเพียงแค่ 2 รุ่นหลักๆเท่านั้น นั่นคือ Dodge Challenger กับ Chevrolet Camaro

ซึ่งในฝั่งคันแรกนั้น ทางค่ายได้มีการประกาศแล้วว่าโฉมถัดไปของมัน จะกลายเป็นรถมัสเซิลคาร์ขุมกำลังไฟฟ้า 100% ไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการสะสมเครดิตโดยปริยาย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ถูกใจเหล่าสาวกเท้าหนักเท่าไหร่นัก เพราะจะไร้สุ้มเสียงจากเครื่องยนต์ V8 สุดร้อนแรงอีกต่อไป (จริงๆตัวรถ Challenger Next-Gen ร่างคอนเซ็ปท์ก็มีเสียงดังกล่าว แต่มันก็เป็น “เสียงจำลอง” เท่านั้นอยู่ดี)

ขณะที่ทิศทางของคันหลังยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก แถมยังมีข่าวลืออีกว่ามันอาจจะถูกแทนที่ด้วยตัวรถโครงสร้างตัวถังแบบซีดานขุมกำลังไฟฟ้า 100% แทนอีกต่างหาก ซึ่งก็ต้องรอติดตามดูกันต่อไปหลังจากนี้

ข้อมูลจาก CNBC

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่