เงียบหายไปนาน หลังการเผยโฉมร่างโปรโตไทป์ครั้งล่าสุดเมื่อปลายปีก่อน ล่าสุด 2 คู่หูรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจาก Kawasaki ก็ได้ถูกเผยโฉมแล้ว ด้วยชื่อ Z e-1 และ Ninja e-1

Kawasaki Ninja e-1 และ Kawasaki Z e-1 คือรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางค่ายเขียว Kawasaki พึ่งทำการเผยโฉมออกมา โดยจะมีการวางจำหน่ายที่แรกในประเทศโซนทวีปยุโรป ซึ่งหากมองจากหน้าตาเราก็จะเห็นได้ว่ามันมีรูปร่างที่ดูคุ้นเคยอยู่พอสมควร

โดยเฉพาะในฝั่ง Ninja e-1 เอง ก็มีพร้อมกับชุดแฟริ่งเปลือกนอกของ Ninaja 250/Ninja 400 ทุกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ไฟหน้า LED โคมคู่ แฟริ่งหน้า ชิลด์หน้า แฟริ่งข้าง บังโคลนหน้า แฟริ่งกลางใต้เบาะผู้ขี่ แฟริ่งท้ายใต้เบาะผู้ซ้อน แม้กระทั่งชุดเฟรม สวิงอาร์มหลัง และบังโคลนหลังพร้อมแท่นยึดป้ายทะเบียน ก็ยังดูคล้ายเดิม

เว้นเพียงตำแหน่งฝาครอบช่องเก็บของขนาด 5 ลิตร ที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับถังน้ำมันเดิม ซึ่งดูเตี้ยลง และอกล่าง ที่ดูยื่นลงไปใต้ท้องรถน้อยลง (ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นจาก 140 มิลลิเมตร เป็น 160 มิลลิเมตร) เนื่องจากไม่ต้องอ้อมคอท่ออีกต่อไป และแน่นอนว่าปลายท่อได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยเพราะไม่ต้องใช้

นอกจากนี้ชุดล้อยังเปลี่ยนใหม่ ไปใช้ของ Kawasaki Ninja 125 (บ้านเรารู้จักในชื่อ Kawasaki Ninja 250 SL) มาพร้อมขนาดยางที่เล็กลง เหลือขนาด 100/80-17 และ 130/70-17

ส่วนระบบกันสะเทือนเอง ก็ดูเหมือนจะเป็นของใหม่ เพราะกระบอกโช้กด้านหน้าที่เป็นแบบตะเกียบคู่หัวตั้ง ดูต่างไปจากเดิม ส่วนตัวโช้กหลังยังไม่มีภาพให้เห็น แต่ทั้งหมดก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใจได้ เนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักเพียง 140 กิโลกรัม (รวมแบตเตอรี่) ซึ่งถือว่าเบาลงกว่า Ninja 400/Ninja 250 ถึงเกือบ 30 กิโลกรัม

ส่วนมิติตัวรถอื่นๆก็มีความแตกต่างจาก Ninja 400/Ninja 250 ด้วยมิติความยาว 1,980 มิลลิเมตร, ความกว้าง 690 มิลลิเมตร, และความสูง 1,105 มิลลิเมตร ซึ่งดูเล็กกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนฐานล้อยาว 1,370 มิลลิเมตรเท่าเดิม และความสูงเบาะเท่าเดิมที่ 785 มิลลิเมตร

แน่นอน ในเมื่อตัวรถมีการเปลี่ยนรูปแบบขุมกำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน สิ่งที่คนให้ความสนใจย่อมเป็นเรื่องสมรรถนะ

และตัวมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดรถมา ก็มีแรงบิดสูงสุด 40.5 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นแรงบิดที่สูงกว่าเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 400cc ของ Ninja 400 เล็กน้อย แต่มาด้วยรอบที่ไวกว่า ที่ 0-1,600 รอบ/นาที (ของ Ninja 400 มีแรงบิด 37 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบ/นาที)

ส่วนตัวเลขแรงม้าสูงสุด ก็อยู่ที่ 12 PS ที่ 2,600-4,000 รอบ/นาที ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นแรงม้าที่พอๆกับรถมอเตอร์ไซค์พิกัดราวๆ 125cc แต่นั่นเป็นแรงม้าที่จะได้ใช้เมื่อผู้ขี่เปิดคันเร่งเต็มที่ ในโหมด ROAD Mode + e-boost เท่านั้น หากเป็นการขับด้วยโหมดปกติ มอเตอร์จะดร็อปกำลังลงเหลือราวๆ 8 แรงม้า เพื่อการประหยัดพลังงาน

ส่วนความเร็วสูงสุดที่รถสามารถทำได้ก็มีตัวเลขเพียง 99 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมด ROAD Mode + e-boost เช่นกัน นอกนั้นจะถูกลดหลั่นลงไป แล้วแต่โหมดที่เลือกใช้ ซึ่งอันที่จริงก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในเมือง

ขณะที่ตัวแบตเตอรี่ เป็นแบตเตอรี่ ขนาดความจุ 30 Ah น้ำหนัก 11.5 กิโลกรัม และใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ใน 3.7 ชั่วโมง และรถหนึ่งคันจะสามารถพกแบตเตอรี่ได้ 2 ลูก ทำให้มันสามารถวิ่งได้ไกลสุดราวๆ 72 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WMTC

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในทวีปยุโรป และสหราชอาณาจักรยังไม่มีการเปิดตัวเลขที่แน่ชัดออกมา แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดียวกันกับ Ninja 125 นั่นคือ อยู่ที่ราวๆ 4,999 ปอนด์ หรือประมาณ 220,000 บาท

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่