ในการเปิดตัว Toyota Innova Zenix ช่วงเช้าของวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือได้ว่ามีบางสิ่งที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่พอสมควร นั้นคือเรื่องของราคา และรุ่นย่อยที่หายไป จนทำให้หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่ามันอาจกลายเป็นรถเอ็มพีวีที่เริ่มจับต้องได้ยากขึ้น

เพราะในการเปิดตัว Toyota Innova Zenix ช่วงสายที่ผ่านมา ทาง Toyota ได้มีการประกาศข้อมูลอย่างชัดเจนว่า พวกเขาตัดสินใจที่จะทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้ด้วยสองรุ่นย่อยเท่านั้น นั่นคือ รุ่น 2.0 HEV Smart ราคา 1,379,000 บาท และรุ่น 2.0 HEV Premium ราคา 1,479,000 บาท   

ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นราคาที่สูงขึ้นจากตัวรถรุ่นก่อนหน้าพอสมควร โดยเฉพาะรุ่นเริ่มต้น ตัว Smart ที่ขยับราคาขึ้นมา จนต่ำกว่ารุ่นท็อป (Premium) ในโฉมก่อนเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น และแน่นอนว่านั่นรวมถึงการที่มันแพงกว่ารุ่นเริ่มต้นของโฉมก่อน (Entry) ถึงแสนกว่าบาทอีกด้วย

โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น หลักๆแล้วก็เป็นเพราะการที่ในคราวนี้ ทาง Toyota ประเทศไทย เลือกจัดออพชันที่ค่อนข้างครบครัน ให้กับเจ้า Innova รุ่นใหม่ ตัวเริ่มต้น “Smart” ตั้งแต่แรก

ไม่ว่าจะเป็นระบบ Toyota Safety Sense รุ่นใหม่ล่าสุด, ระบบเบรกมือไฟฟ้า, ชุดจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay แบบไร้สาย กับ Android Auto, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะนั่งแถวสองแบบ Captain Seat, ล้อขอบ 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 225/50 R18 เป็นต้น

รวมถึง เครื่องยนต์แบบเบนซินไฮบริด ซึ่งถูกพัฒนาโดย Lexus รหัส M20A-FXS ความจุ 1,987 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 152 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตันเมตร ที่ 4,400 – 5,200 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 113 แรงม้า PS และมีแรงบิดสูงสุด 206 นิวตันเมตร

ที่เมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกันผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ e-CVT พร้อม Manual Mode แล้ว มันก็จะสามารถให้พละกำลังสูงสุดรวมกันได้มากถึง 186 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที และยังให้อัตราสิ้นเปลืองตามมาตรฐานการทดสอบของ Eco Sticker อีก 21.4 กิโลเมตร/ลิตร

ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากมองจากออพชันเพียงอย่างเดียว มันก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มกับราคาที่เคาะตัวเลขไว้ 1,379,000 บาท เพราะหากว่ากันตามตรง ออพชันที่ให้มานั้น ถือว่าดีกว่ารุ่นพี่ที่เป็นตัวท็อปเสียอีก

อย่างไรก็ดี ด้วยราคาเปิดที่ทะลุหลัก ล้านสาม จนจะแตะ ล้านสี่ ทำให้หลายคนที่กำลังเล็งตัวรถรุ่นนี้อยู่ โดยเฉพาะคนงบน้อย หรือคนที่อาจจะมองแค่ในเรื่องของพื้นที่ห้องโดยสาร และการขับขี่เป็นหลัก ไม่ได้ต้องการออพชันที่เกินจำเป็น เริ่มคิดหนัก

ซึ่งเราเองก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากเป็นตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ทางค่ายได้มีการจำหน่ายตัวรถรุ่นนี้ ด้วยรุ่นย่อยที่ให้ออพชันเพียงเท่าที่จำเป็นอยู่ด้วย เช่น การตัดออพชันระดับสูงจำพวกระบบ ADAS, เปลี่ยนเบาะแถว 2 แบบ Captian Seat เป็นเบาะตอนยาวแบบ 3 ที่นั่ง, เปลี่ยนจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 10.1 นิ้ว เหลือ 9 นิ้ว เป็นต้น และทำให้ตัวรถมีราคาที่ถูกกว่ารุ่นที่ให้ออพชันเต็มขนาดนี้ถึงแสนกว่าบาท

แถมมีให้เลือกทั้งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด หรือรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินล้วนๆให้ลูกค้าได้เลือกซื้ออีก ซึ่งขุมกำลังเพียวเบนซินที่ว่านั้น แท้จริงก็คือขุมกำลังแบบเดียวกันกับที่อยู่ในตัวรถรุ่นไฮบริด แต่ถูกถอดระบบมอเตอร์ไฟฟ้าออกไป แล้วปรับจูนใหม่ให้มันมีพละกำลังมากขึ้นเล็กน้อย จนสามารถให้กำลังสูงสุด 174 แรงม้า PS ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร ที่ 4,400 – 5,200 รอบ/นาที

และแน่นอนว่าตัวเลือกนี้ ไม่ไว้สำหรับลูกค้าที่ หากพวกเขายังไม่วางใจในการใช้เครื่องยนต์ที่มีความซับซ้อนจากเทคโนโลยีขั้นสูง ก็ยังสามารถเลือกซื้อ Innova Zenix ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ลูกนี้แทนได้อยู่

ดังนั้น ในมุมมองของทีมงาน Ridebuster จึงมองว่า การเปิดตัว Toyota Innova Zenix ครั้งนี้ อาจเป็นเพียงแค่การเปิดเพื่อปรับโฉมตัวรถในเฟสแรกก่อนเท่านั้น โดยการเน้นปรับภาพลักษณ์ให้ตัวรถดูหรูหรามากขึ้น เพื่อจับตลาดลูกค้าที่เน้นการใช้งานในครอบครัวเป็นหลัก

หลังจากนั้น ในอนาคตอันใกล้ ทาง Toyota ประเทศไทย ก็อาจจะมีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ หรือจริงๆ ก็คือ อาจมีการเปิดตัวรุ่น Entry ที่ตัดออพชันไม่จำเป็นออกไป จนทำให้มีราคาถูกลงมาอยู่ในระดับราวๆ 1.2-1.3 ล้านต้นๆ เพิ่มเติมอีกครั้งในภายหลัง

เพื่อจับตลาดลูกค้าที่อาจต้องการซื้อรถรุ่นนี้ไว้รับส่ง-ลูกค้าเพียงชั่วคราว หรือเน้นการใช้งานในครอบครัวเช่นกัน แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องออพชันที่หวือหวามากนัก เหมือนผู้ซื้อกลุ่มแรก ที่จับจอง Innova รุ่น Smart และ Premium ในทันที

ซึ่งการขายตัวรถออพชันลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมันเคยเกิดขึ้นแล้วกับรถยนต์รุ่นอื่นๆของ Toyota ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เว้นเสียแต่ว่าทางผู้บริหารจะเลือกเมินไปเลย เพราะความเป็นไปได้ทางยอดขายของมันอาจไม่สูงพอจนคุ้มที่จะเปิดพื้นที่การขาย(รวมถึงการสต็อคอะไหล่)เพิ่ม…

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่