เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่สุดเซอร์ไพรซ์อย่างแท้จริงกับ 2022 Honda Forza 350 ซึ่งถูกปรับโฉมใหม่แบบ All-New และในวันนี้ เราก็จะมา รีวิว ให้ทุกท่านได้ชมกันว่า มันจะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไรบ้าง ?

2022 Honda Forza 350 ที่เราจะนำมาทำการ รีวิว ในครั้งนี้ หากอิงตามข้อมูลโดยทาง Thai Honda จะถือว่าเหล่าสื่อมวลชนชาวไทยเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้สัมผัสเจ้ารถสกู๊ตเตอร์คันนี้เป็นครั้งแรก เพราะนอกจากการที่มันได้ถูกนำมาเผยโฉมในไทยเป็นทีแรกของโลกแล้ว เหล่าสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงาน ยังถือเป็นนักบิดกลุ่มแรกที่ได้ทดสอบมันอย่างเป็นทางการอีกด้วย (ถ้าไม่นับเหล่านักทดสอบของตัวบริษัทเอง)

จุดเปลี่ยนสำคัญของ Forza 350 รุ่นใหม่ เมื่อเทียบกับรุ่นพี่โฉมก่อนหน้า ก็เริ่มจากงานดีไซน์เปลือกนอกช่วงครึ่งหน้าของมัน ที่ถูกปรับใหม่ ให้ดูหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยที่ในขณะเดียวกันก็ดูเพรียวบาง และยื่นแหลมออกไปทางด้านหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความลู่ลมในช่วงความเร็วสูง

ทั้งนี้ในส่วนแฟริ่งด้านข้างครึ่งหน้า แม้จะดูเรียบหรูมากขึ้น แต่ทาง Honda ก็ยังคงไม่ลืมที่จะใส่ช่องไล่ลมทางด้านหน้ามาให้ โดยที่มันจะทำหน้าที่ดักลมจากทางด้านหน้าตัวรถ เพื่อไปตีเป็นกำแพงลม ช่วยลดอาการลมหวนเข้ามาในแนวผู้ขี่นั่นเอง

และหากคุณลองสังเกตให้ดี จะพบว่าตัวไฟหน้าของมันเอง ก็ได้ถูกปรับรูปทรงใหม่ จากแบบโคมเดี่ยว LED ให้เป็นโคมคู่แยกฝั่งซ้าย-ขวา ออกจากกันชัดเจน ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของทางทีมดีไซน์เนอร์ ที่ต้องการจะให้มันกลับไปสู่คอนเซปท์ของรถ Forza รุ่นดั้งเดิม ที่ใช้ไฟหน้าแบบออกคู่มาตั้งแต่แรก

นอกจากนี้ เราจะพบว่าโคมไฟหน้าชุดใหม่ของ Forza 350 รุ่นล่าสุด ยังมาพร้อมกับขอบไฟ DRL ทั้งบน-ล่าง ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่สืบทอดมาจากพี่ใหญ่ Forza 750 อีกด้วย

แน่นอนว่าในฝั่งไฟท้ายเอง ก็มีการปรับรูปทรงและรายละเอียดภายในใหม่เช่นกัน ซึ่งนั่นก็จะทำให้ตัวรถดูล้ำขึ้นมาก เพราะคราวนี้ตัวไฟเบรกด้านใน ไม่ใช่แบบดวงย่อยๆทั่วๆไป แต่กลายเป็นแถบไฟที่ดูสว่าง และโดดเด่นใช้ได้เลยทีเดียว

นอกนั้นในด้านรายละเอียดชิ้นงานพลาสติกอื่นๆรอบคันก็เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนเดิมทั้งหมด โดยเฉพาะอยางยิ่งกับชิ้นแฟริ่งข้างชึ่งใต้เบาะผู้ขี่กับผู้ซ้อน, บังโคลนหน้า-หลัง, พลาสติกครอบชิลด์หน้า, และพลาสติกครอบตุ๊กตาแฮนด์

อีกจุดที่ถูกปรับเปลี่ยนไปแต่ต้องสังเกตกันดีๆก็คือ ชุดหน้าจอเรือนไมล์ ที่แม้มันจะยังคงใช้วัดรอบ กับความเร็วแบบเข็มกวาดดังเดิม แต่กรอบมาตรวัดทั้งสองตัว ได้ถูกเปลี่ยนสีใหม่ จากสีทองหม่น เป็นสีเทาด้าน, หน้าจอ MID ก็ถูกขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้น ให้เต็มพื้นที่ตรงกลาง โดยตัวจอด้านในก็จะมีการเพิ่มแถบวัดอัตราสิ้นเปลืองแบบ Real-Time แยกออกมาอีกบรรทัดอย่างชัดเจน

นอกนั้นไฟสัญญาณเตือนของระบบต่างๆ ทั้ง การทำงานของระบบ ABS, HSTC, ไฟสัญญาณความผิดปกติของระบบจ่ายน้ำมันกับเครื่องยนต์ ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง แยกไปฝังไว้ใต้กรอบวัดรอบกับความเร็วแทน

ส่วนการปรับเปลี่ยนในรายละเอียดเชิงลึกอื่นๆเพิ่มเติม จากการที่เราได้ลองสอบถามกับ LPL หรือ Last Project Manager – ผู้จัดการโปรเจ็กท์คนสุดท้าย ของเจ้า Forza 350 รุ่นใหม่ จากประเทศญี่ปุ่น ที่ทาง Thai Honda เชิญมาเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถรุ่นนี้ ก็เปิดเผยแแบบพอสังเขปว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนในเรื่องหน้าตาภายนอกแล้ว ชิ้นส่วนอื่นที่ได้รับการปรับปรุงก็มีแค่เพียงเครื่องยนต์เท่านั้น ที่ถูกปรับจูนใหม่อีกเล็กน้อย

นั่นจึงหมายความว่า เครื่องยนต์ของมัน ก็ยังคงมีรายละเอียดที่คล้ายเดิมคือ

  • รูปแบบ : eSP+ สูบเดียว 4 วาล์ว ซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ปริมาตรกระบอกสูบ : 329.6 ซีซี
  • ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก : 77.0 x 70.7 มิลลิเมตร
  • อัตราส่วนแรงอัด : 10.5 : 1
  • ระบบคลัทช์ : คลัทช์แห้งอัตโนมัติแบบแรงเหวี่ยง
  • ระบบส่งกำลัง (ระบบเกียร์) : V-Matic แบบสายพาน [V-Belt]

โดยที่ทางค่ายก็ยังคงไม่มีการเปิดเผยตัวเลขกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์เช่นเดิม แต่หากอิงจากตัวรถสเป็คที่ส่งไปวางจำหน่ายในทวีปยุโรป เครื่องยนต์ลูกนี้จะสามารถทำแรงม้าสูงสุดได้ 29.36 PS ที่ 7,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอีก 31.9 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบ/นาที ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างเล็กน้อยสำหรับตัวรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

ส่วนการปรับจูนที่ว่า อาจจเป็นแค่เพียงการปรับจูนเครื่องยนต์เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับใหม่ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นก็เท่านั้น

ชิ้นส่วนโครงสร้างหลักอื่นๆของมันก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ หากอิงตามการให้ข้อมูลในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบกันสะเทือน ด้านหน้า : โช้กหน้าตะเกียบคู่หัวตั้ง
  • ระบบกันสะเทือน ด้านหลัง : โช้กหลังคู่
  • ระบบเบรก ด้านหน้า : จานเบรกเดี่ยว ขนาด 256 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 2 พอท
  • ระบบเบรก ด้านหลัง : จานเบรกเดี่ยว ขนา 240 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท 1 พอท
  • ล้อหน้า : อัลลอยด์ ขนาด 15 นิ้ว รัดด้วยยาง 120/70R15
  • ล้อหลัง : อัลลอยด์ ขนาด 14 นิ้ว รัดด้วยยาง 140/70R14

ด้านมิติตัวรถรอบคันเอง ก็มีตัวเลขที่ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก นั่นคือ

  • ขนาด กว้าง x ยาว x สูง : 754 x 2,143 x 1,507 มิลลิเมตร (เดิม 754 x 2,147 x 1,362 มิลลิเมตร)
  • ระยะห่างช่วงล้อ : 1,510 มิลลิเมตร (เท่าเดิม)
  • ระยะห่างจากพื้น : 140 มิลลิเมตร (เดิม 147 มิลลิเมตร)
  • ความสูงของเบาะ : 780 มิลลิเมตร (เท่าเดิม)
  • มุมคาสเตอร์ / ระยะเทรล : 26° 30′ องศา / 91 มิลลิเมตร (เท่าเดิม)
  • ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง : 11.7 ลิตร (เท่าเดิม)
  • น้ำหนักสุทธิ : 187 กิโลกรัม (เดิม 185-186 กิโลกรัม)

จากข้อมูลทั้งหมดที่ไล่เรียงมา จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่ใครหลายๆคนจะเริ่มมองว่า มันคงไม่มีผลถึงการขับขี่ของตัวรถสักเท่าไหร่ ซึ่งจะว่าแบบนั้นก็ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

เพราะจากการทดสอบจริงส่วนตัวผู้ทดสอบเองก็คงต้องเรียนกันตามตรงว่ามันแทบไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวรถเท่าไหร่นักจริงๆ ทั้งตำแหน่งท่านั่งบนตัวรถ ที่หากเป็นท่ายืนจอด สำหรับผู้ขี่ที่สูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร ก็ยังคงสามารถใช้ขาได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น ถึงจะเหยียบพื้นได้เต็มฝ่าเท้าตอนจอด ถ้าจะลองสองข้างยังคงต้องเขย่ง หรือไม่ก็ต้องขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้ก้นอยู่บนแนวเบาะ

ด้านการจัดท่าทางขณะรถเคลื่อนที่ ก็ยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติในการจัดตำแหน่งร่างกายต่างๆ ทั้งองศาช่วงหลังที่ตรงค่อนไปทางโน้มตัวเล็กน้อยสำหรับคนแขนสั้น, แฮนด์บาร์ก็กว้างพอสมควร เมื่อเทียบกับรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก แต่ไม่ได้กว้างจนปรับตัวเข้าหายาก และหากชินแล้วก็จะพบว่ามันเป็นความกว้างและความสูงที่ค่อนข้างสบาย

ขณะที่การจัดตำแหน่งร่างกายท่อนล่างเอง ก็ต้องบอกว่ายังคง “จัดได้ตามสะดวก” เพราะขนาดชิ้นส่วนหุ้มโครงและถังน้ำมันตรงกลางลำตัวรถ ไม่ได้กว้างมากนัก จึงทำให้ผู้ขี่ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องกางขาตอนขี่สักเท่าไหร่ แต่ฝั่งฟลอบอร์ด ก็ยังคงมีทั้งความกว้างและความยาวที่เหลือเฟือสำหรับฝ่าเท้าขนาด 43 หรือจะเหยียดก็ยังได้ แต่อาจจะรู้สึกต้องเหยียดมากหน่อย หากคุณไม่ใช่คนตัวสูงเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะตอนที่อยากนั่งบนรถแบบเอาก้นกบพิงช่วงพนักเบาะที่เสริมขึ้นมาพร้อมๆกัน

ด้านลักษณะการทำงานของช่วงล่าง ก็ยังคงเป็นแบบก้ำกึ่ง ระหว่างนุ่มนวล และคล่องตัวเช่นเดิม กล่าวคือ มันยังคงสามารถซับแรงจากผิวถนนได้แค่เพียงพอประมาณ ไม่ได้เก็บหมดเลยเสียทีเดียว หากเป็นจังหวะที่ต้องขี่ผ่านหลุมจากรอยปะผิวถนนจริงๆมันก็ยังคงมีอาการกระเทือนขึ้นมาถึงช่วงก้นผู้ขี่อยู่บ้าง เพียงแต่อาจจะไม่ได้เป็นลูกที่ชัดเจนมากเท่ากับรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก

และด้วยการเซ็ทติ้งช่วงล่างลักษณะนี้ จึงทำให้มันมีข้อดีคือความฉับไวในการพลิกเลี้ยว ที่ทั้งคมและคล่องตัวกว่าเพื่อนร่วมคลาสเดียวกัน เรียกได้ว่าเบาผิดกับน้ำหนักตัวรถที่มากถึง 187 กิโลกรัม ส่วนอาการหน้าส่ายเล็กๆตอนวิ่งด้วยความเร็วสูงๆหลัก 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป สำหรับส่วนตัวผู้ทดสอบก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีน้อยมากๆ และถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะด้วยขนาดแฟริ่งหน้าตัวรถที่เน้นการแหวกลมออกจากตัวผู้ขี่ทางด้านหลังเป็นหลัก ส่วนวิธีแก้พื้นฐาน ผู้ขี่ก็แค่ใช้เท้าช่วงตาตุ่มหนีบลำตัวรถตรงกลางให้กระชับขึ้นอีกนิด ก็ทำให้อาการรถนิ่งมากขึ้นแล้ว

ด้านการทำงานของระบบเบรกเอง อาจจะด้วยความที่ตัวรถซึ่งทาง Thai Honda นำมาให้สื่อฯได้ทำการทดสอบ คือรถ Forza 350 ที่ใหม่จริงๆ เรียกได้ว่าเป็นรถเกือบ 0 โล จากโรงงาน จึงทำให้ในการใช้งานเบรกช่วงแรกๆ จะยังคงรู้สึกว่ามันมีอาการไหลหน่อยๆ ตามประสาเบรกของรถที่ยังไม่พ้นรันอิน

แต่เมื่อมีการย้ำเบรกไปเรื่อยๆ คราวนี้ เบรกก็จะเริ่มทำงานตามสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องใช้แรงในการกกดก้านเบรกช่วงแรกๆมากหน่อยเท่านั้น ถึงจะรู้สึกว่ามันทำงานได้ดีมากพอที่จะหยุดตัวรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ซึ่งหนักถึง 187 กิโลกรัม แต่สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง คันนี้ได้อยู่หมัด

แต่การเบรกในช่วงความเร็วต่ำๆนั้นหายห่วง หากคุณไม่ใช่สายซิ่งก็ขอให้สบายใจได้ หรือถ้าจะกำเบรกหนักๆก็ทำได้เลย เพราะรถมีระบบ ABS Dual-Channel ที่สามารถทำงานได้ดีเลยทีเดียว แม้สภาพผิวถนนที่วิ่งผ่าน ณ ช่วงเวลานั้นๆจะค่อนข้างลื่น จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าล้อจะล็อคขณะเบรกหนักๆแต่อย่างใด

สุดท้ายคือเรื่องของเครื่องยนต์ ที่เราก็ต้องย้ำอีกครั้งว่า มันยังคงเป็นเครื่องยนต์บล็อคเดิม บล็อคเดียวกันกับ Forza 350 รุ่นก่อนหน้า และคาดว่าจะได้รับการปรับจูนใหม่ แค่เพียงเพื่อให้มันผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้นอีกนิดก็เท่านั้น

นั่นจึงทำให้ความรู้สึกในการเรียกอัตราเร่งของมันยังคงคล้ายเดิมกับรุ่นพี่ ที่มีทั้งความฉับไวในจังหวะการกระแทกคันเร่งตอนออกตัวจากหยุดนิ่ง จนชนิดที่ว่าหากไม่ตั้งตัว โน้มไปข้างหน้ารอไว้ คุณอาจจะหงายหลังได้ง่ายๆ ส่วนการเรียกคันเร่งในช่วงความเร็วต่ำถึงกลางเอง ก็ยังคงทำได้ดี มีความติดมือไม่น้อย ชนิดที่ว่าหากคุณเผลอปิดระบบ HSTC ทิ้งไป แล้วเผลอกระแทกคันเร่งอย่างรุนแรงตอนอยู่บนพื้นกรวด ล้อหลังก็พร้อมจะไถลออกได้ง่ายๆ

ส่วนการเรียกความเร็วปลาย จากที่ผู้ทดสอบได้ลองอาศัยจังหวะสั้นๆ ช่วงที่ปล่อยให้ขบวนสื่อฯรุ่นพี่ทิ้งห่างออกไป แล้วลองขยี้คันเร่งเพื่อเค้นความเร็วสูงสุดของตัวรถ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือ ในคราวนี้ตัวรถสามารถทำไต่ความเร็วจาก 120-150+ กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น

ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น กลับดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องของการปรับจูนเครื่องยนต์ เพราะอย่างที่เราได้ระบุไว้ข้างต้นว่าเครื่องยนต์ของมันถูกปรับจูนโดยเน้นหนักไปที่การทำให้ระบบระบายไอเสสสียมีความสะอาดมากขึ้นเป็นหลัก

แต่เป็นเพราะชุดแฟริ่งหน้าที่ถูกออกแบบใหม่ ให้มีความลู่ลมกว่าเดิม โดยในจุดนี้ หากคุณเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ ก็จะพบว่ามันมีกระแสลมหวนตรงหน้าผู้ขี่ตอนนั่งหลังตรงน้อยลงอย่างรู้สึกได้ เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ Forza 350 โฉมก่อนหน้า

สรุป รีวิว Honda Forza 350 ตัวใหม่ล่าสุด กับการทดสอบแบบสั้นๆเป็นกลุ่มแรกของโลกในครั้งนี้ ผู้ทดสอบก็คงต้องเรียนกันตามตรงว่ามันยังคงเป็นตัวรถที่ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้ามากเท่าไหร่นัก ในเรื่องสมรรถนะ เพราะความต่างที่สัมผัสได้จริงๆ ก็มีเพียงเรื่องของความลู่ลมบนช่วงหน้าตัวรถที่ทำได้ดีขึ้นอีกเล็กน้อยก็เท่านั้น

แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่านั่นจะไม่ใช่เรื่องดี เพราะหากว่ากันตามจริง ตัวรถ Forza 350 ก็ยังคงเป็นรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่สามารถเรียกอัตราเร่งได้ดีที่สุดในคลาส ความสามารถในการควบคุมเอง ก็ยังคงโดดเด่นกว่าในเรื่องความคล่องตัว และยังคงมีออพชันในเรื่องของระบบชิลด์หน้าไฟฟ้า ที่สะดวกสบายในการใช้งานจริงมากกว่าเช่นเดิม

และสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา ก็คือเรื่องของงานดีไซน์ ที่ถูกปรับใหม่ให้มันทันสมัยยิ่งขึ้น ดูโดดเด่น สะดุดตา และดูหรูหรากว่าเดิม ซึ่งก็คงช่วยเพิ่มความน่าใช้ให้กับมันได้อีกมากพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังอยากได้รถบิ๊กสก๊ตเตอร์สักคันที่ไม่ได้ดูซิ่งจนเกินไป (แม้ว่าไส้ในของมันจะพร้อมซิ่งมากๆก็ตาม)

แน่นอน การรีวิวในครั้งนี้ ยังเป็นเพียงการรีวิวเพียงสั้นๆ แบบ First Impression เท่านั้น จึงทำให้เรายังไม่สามารถลงรายละเอียดจากการใช้งานจริงตัวรถแบบเชิงลึกได้มากนัก ซึ่งหากมีโอกาส เราคงต้องขอติดไว้ก่อน จนกว่าจะถึงการทดสอบแบบ Full-Review ครั้งต่อไป

แต่หากเพื่อนๆคนไม่อยากรอ และมั่นใจแล้วว่าข้อมูลเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะใส่รองเท้าออกจากบ้าน แล้วเดินทางไปจับจองมันที่ศูนย์บริการ หรือตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ Honda ทั่วประเทศล่ะก็

ตัวรถ Honda Forza 350 รุ่นใหม่ล่าสุดโมเดลปี 2022 – 2023 นี้ ก็จะมีรุ่นย่อยให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่

  • รุ่น Standard Type มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีดำ (Mat Black), สีเทา-ดำ (Smoky Grey), สีแดง (Red) และสีน้ำเงิน (Blue) ราคาแนะนำที่ 179,000 บาท
  • รุ่น Roadsync Type (ติดตั้งระบบ HSVCs) มี มาพร้อมล้อสีทอง ด้วยราคาแนะนำที่ 181,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษพร้อมออพชั่นเสริมเพิ่มความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร อีก 2 รุ่น ประกอบด้วย

  • Forza Yoshimura Gcraft Rising Spirit TH2 ราคาแนะนำที่ 206,900 บาท
    * ชุดแต่ง The Yoshimura X G’craft Rising Spirit Edition ตำนานจากญี่ปุ่น ที่ร่วมมือกับ H2C สำนักแต่งฮอนด้าที่ทั่วโลกยอมรับ สู่การปลดปล่อยสไตล์ใหม่ไม่ซ้ำทางใคร ด้วยท่อไอเสียจากสำนักแต่งสัญชาติญี่ปุ่น พร้อมทะยานสู่ความเร้าใจใหม่ที่เหนือกว่า
  • Forza Nitron Neon TH1 ราคาแนะนำที่ 221,800 บาท
    * ชุดแต่ง Nitron Neon Edition ชุดแต่งพรีเมียมจากอังกฤษ ทุกเส้นสายบอกสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร เอาใจสายสปอร์ตด้วยระบบกันสะเทือนแบรนด์ Hi-end ระดับโลก รองรับการใช้งานทุกย่านความแรง

ท้ายสุด ขอขอบคุณบริษัท ไทยฮอนด้า ที่ให้เกียรติทีมงาน Ridebuster ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบรถ All-New Honda Forza 350 ในครั้งนี้

ทดสอบ / เรียบเรียง : รณกฤต ลิมปิชาติ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่