ตั้งแต่ ฮอนด้า ประกาศ​การปล่อยเช่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท Honda E:N1 สำหรับประเทศไทย กระแสทางโซเชี่ยลก็ดูจะตีรวย ต่อท่าทีของฮอนด้าในเรื่องนี้ มันเหมือนความผิดหวัง นำไปสู้ การกร่นด่า จนลูกค้าหลายคนที่กำตังค์พร้อมซื้อ รู้สึกเซ็งไปตามๆ กัน

การมาของรถยนต์ไฟฟ้า Honda E:N 1 นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของฮอนด้า ต่อตลาดเมืองไทย หลังปีที่แล้ว จัดทัพใหม่ เป็นรถไฮบริดครบทุกไลน์อัพ ในกลุ่มรถ Global Model มาปีนี้ ทางฮอนด้า จัดแจงเริ่มเกม ด้วยการเปิดรถยนต์ไฟฟ้าทำตลาด แต่พอกลายเป็นปล่อยเช่า ก็ทำเอาแม้แต่เราสื่อมวลชน ก้งงงย ถึงปากเราจะพูดว่า เราเข้าใจว่า ทางฮอนด้าทำไมทำเช่นนี้ แล้วทำไม เลือกเดินเกมแบบนี้

Honda E:N1 Review

ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดตามขี้ปากโซเชี่ยลขี้แซะว่า “โอ้ย ก้มันทำราคาไม่ได้” และอื่นๆ อื่นมาก ตามภาษสีงคมออนไลน์ร้อยพ่อพันแม่ แต่วันนี้ต้องขอบคุณฮอนด้าที่ให้ผม และ ทีมงาน Ridebuster ได้มีโอกาสสัมผัสรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ อย่างจริงจัง และหลังลองขับ ผมอยากบอกตามตรงว่า ถ้ามันวางขาย ก็น่าจะมีคนซื้อหาไม่น้อยเช่นกัน

รู้จัก Honda e:N

ก่อนอื่น รถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ จากฮอนด้า ได้เปิดซับแบรนด์ ขึ้นมาใหม่ในนาม Honda e:N มีจุดเด่นสำคัญในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า โดย รถรุ่นแรกที่ออกมา มี 2 รุ่น คือ Honda e:NS และ Honda e:NP ทั้งสองมีความเหมือนกัน แตกต่างกันที่งานออกแบบตัวรถที่ถูกพัฒนาให้เป้นภาพสปอร์ต หรือ หรูหรา ตามความชอบของลูกค้า

โครงการ E:N นี้ เกิดขึ้น และพัมนาในประเทศจีน ภายใต้การจับมือกับ GAC ในการร่วมมือกันพัมนา ทางฮอนด้าได้ เริ่มโครบการด้วยการจับเอาโครงสร้างที่อยู่เดิม ต่อบอดให้มันรองรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า แล้วเรียกว่า Honda E:N Architecture

Honda E:N1 Review

ส่วนว่าทำอะไรไปบ้าง ปรับแต่งอย่างไรยังไง เป็นความลับสุดยอดในฮอนด้า เอาเป็นว่า ถ้าจะถามว่าตัวรถ ต่างจากรถรุ่นปกติยังไง นอกจาก การยกเครื่องยนต์ แล้วแทนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว โครงสร้างตัวถังที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี่แหละ คือ ผลงานชิ้นโบว์แดง จนผมยังแปลกใจ ที่ฮอนด้า มาแนวไม่บอกอะไร แต่บอกว่า นี่โครงสร้างใหม่ แล้วจบเพียงเท่านี้

ทั้งที่ฮอนด้า ไม่เคยมาแนวมาก่อน มีอะไรบอกหมด จนกระทั่งไปถึง การใช้เหล็กแบบใด ค่าความแข็งแรงเท่าไร หากในรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขา เราไม่มีข้อมฝุล อะไรที่พอจะพูดกับคุณๆได้เลย

มันคือ Honda HR-V ไฟฟ้าหรือไม่

แน่นอนว่า ถ้าใครเดินไปที่บูธ ฮอนด้าในงานมอเตอร์โชว์ จะพบ เจ้า Honda E:N จอดตระหง่าน อยู่ในบูธ แล้วคำถามแรกที่เกิดขึ้น ก็คงจะผุดขึ้นมาทันทีว่า ทำไม หน้ามันละม้ายคล้าย Honda HR-V หรือ มันคือ Honda HR-V ไฟฟ้า ??

ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้ไม่แพ้ กัน ก็ได้สอบถามไปเช่นกัน ได้ความว่า สาเหตุที่ทางฮอนด้า จัดเอาทรง Honda HR-V มาใช้ เนื่องจาก ต้องการสร้างรถที่ทันสมัยวัยรุ่นตอบโจทย์ และ เพื่อทำให้รถไม่ดูละม้ายเป็น HR-V ไฟฟ้ามากเกินไป จึงมีการปรับปรุง งานออกแบบทางด้านหน้า เปลี่ยนมาเป็นกระจังหน้าปิดทึบ แถมตัวรถมีแต่สีขาวเท่านั้น

มองๆ ผมแอบนึกถึง Storm Trooper จาก ภาพยนต์ สตาร์วอร์ เหมือนกัน แฮะ

Honda E:N1 Review

ช่วงกระจังหน้าตรงกลาง เป็นที่ชาร์จตรงกลาง สามารถกด เปิด-ปิด ได้จากด้านหน้า และ ด้านในรถ ช่วยให้สะดวกสบาย

ตรงกระจังยังมีชุดไฟบอกสถานะการชาร์จแบตเตอร์รี่ อย่างชัดเจน ถ้าชาร์จได้ จะขึ้นสัญลักษณ์ไฟ เพื่อบอกว่า รถกำลังชาร์จอยู่ ช่วยให้คนภายนอกสังเกตได้ง่ายขึ้น

ด้านข้าง มีการปรับ ชุดล้ออัลลอยใหม่ มาในสไตล์หรูหรา ซี่ถี่ๆ แล้วแต่คนชอบ ชุดยาง ก็เปลี่ยนใหม่ มาใช้ ของ continental ให้สอดรับกับการใช้งานมากขึ้น

ด้านหลัง เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ทางฮอนด้า จัดการเปลี่ยน ไฟท้ายใหม่ มาเป็นโคมใส ซึ่งหลายคนน่าจะชอบ ดูทันสมัยมากขึ้น ตัวโลกโก้ ที่เรียกว่า H Mark จัดการเปลี่ยนใหม่ มาเป็น คำว่า Honda เต็มๆ วางฟอนต์ห่างๆ ตามสมัยนิยม

Honda E:N1 Review

น่าเสียดายที่ประตูท้าย ถูกดอยเอา ฝาท้ายไฟฟ้า ออกไป ทั้งที่ความจริงก็น่าจะให้มา ไม่ควรตัดออกไป

ภาพรวมภายนอก Honda e:N1 จึงไปในทางหรูหรา ทันสมัย แถมด้วยการมีสีขาวเพียงสีเดียว ไม่มีทางเลือกให้ชีวิต ทำให้ รถคันนี้ยิ่งดู นึกว่า Storm Trooper เข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะ เมื่อมันจอดรวมๆ กัน

ห้องโดยสารปรับใหม่ ทันสมัยกว่าเดิม

ก้าวเข้ามาในห้องโดยสารทางฮอนด้า นำเสนองานออกแบบภายในที่มีความสมัยมากขึ้น ลืมไปเลย พวกชุดจอเรือนไมล์ เดิมๆ เข้ามาในรถคันนี้ อลังการแบบรถ EV จีน ที่เราคุ้นตา

ชุดจอมาตรวัดผู้ขับขี่เป็นจอ ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมสำหรับการใช้งาน บอกค่าต่างที่จำเป็น ไม่ว่าจะความเร็ว , ระยะทาง ระดับแบตเตอร์รี่ ส่วนตัวผมก็รู้สึกแปลกตาดีเหมือนกัน

แต่ไฮไลท์หลักอยู่ที่จอกลางขนาด 15.1 นิ้ว วางไง้ตรงกลาง ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาจอภาพทั้งหมด ที่ผมเคยเห้นในฮอนด้ามาเลย แล้วเจ้าจอนี้ยังให้ความมั่นใจในการใช้งานอย่างครบเครื่องครบครันด้วยล่ะครับ

ฮอนด้า วางแนวคิดไฮไลท์หลักด้วยการ ออกแบบส่วนตืิดต่อผู้ใช้งาน หรือ Interface ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อสะดวก ต่อการใช้งานได้ง่ายขึ้น

ด้านบนเป็นเรื่องของความบันเทิง ,​การเชื่อมต่อ ตรงกลางเป็นเรื่องของ ตัวรถ และข้อมูลการขับขี่ ส่วนด้านล่างเป็นชุดควบคุมแอร์ ทำให้คุณสามารถคุมทุกอย่างได้แทบทั้งหมดในจอทันที โดยแทบไม่ต้องเข้าเมนูสั่งการอะไรให้มันวุ่นวายใจ

ยกเว้นเพียงการตั้งค่า ที่มีความแอดวานซ์มากขึ้น เช่นการสั่งการชาร์จ ตั้งค่าการชาร์จเป็นต้น จึงจะต้องเข้าเมนูไปข้างใน

ช่วงคันเกียร์ ปรับใหม่ มาเป็นคันเกียร์แบบปุ่มกด ถ้าคิดว่าดูคุ้นตา ใช่ครับ พวกเขายกมาจาก Honda CR-V ดีเซล ตัวที่แล้ว ช่วยให้คอนโซลกลางสะอาดตามากขึ้น

นอกจาก เรื่องการตบแต่งที่มีการปรับไปบ้างเล็กน้อย เบาะนั่งเป็นอีกอย่างที่มีการปรับเปลี่ยนไปจาก HR-V

ถ้าดูด้วยตามันก็เหมือน กับ เบาะที่เราคุ้นเคยกัน ใน HR-V แต่พอลองนั่งแล้ว จะพบว่า ความสบายในการโดยสาร เรียกว่าคนละชั้น โดยเฉพาะ ตอนหลัง ปรับที่รองนั่งให้หนาขึ้น นั่งสัมผัสสบาย ใกล้เคียงกับ Honda Accord ติดเพียงที่วางขาแคบกว่าเท่านั้น

ความสบายมากขึ้นต้องแลกมากับ เบาะนั่งที่มีฟังชั่นน้อยลง ทำได้เพียง พับเบาะลงเท่านั้น รวมถึง เมื่อพับแล้ว ก็ยังมีความหนา จนพื้นตอนหลังไม่เรียบยาวแบบ ใน HR-V ที่ได้เบาะมายากล Ultra Seat

กลับกัน ถ้าเอาเรื่องการโดยสารมาคุย Honda e:N1 อาจทำได้ดีกว่ามาก

ขับดีไม่เหมือนฮอนด้า จุดเด่น อยู่ที่ สมดุลตัวรถ

ใต้เรือนร่าง Honda e:N1 ทางฮอนด้า นำเสนอ ระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังขับสูงสุด 204 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร หรือ พูดตามตรง ว่าพลังขับของมันเหมือนกับ BYD Atto 3 เลย

เรื่องพลังขับ 204 ม้า ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน แค่โหมด Normal ก็ค่อนข้างจัดจ้าน การตอบสนองแบบ กดเป็นมา หรือ แรงบิดฉับพลัน ถูกใจทุกคน ที่ได้ขับอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะ อัตราเร่ง ท่านผู้อ่านครับ นั่ง 3 คน 0-100 ก.ม./ช.ม. 8 วินาที กลางๆ เท่านั้น เร็วพอสมควร ถ้าผมจำไม่ผิด มันเร็วกว่า Honda HR-V ราวๆ 4-5 วินาที เลยทีเดียว ส่วนตัวz, ค่อนข้างน่าพอใจอย่างมาก

อัตราเร่งที่เร็วมาพร้อมอาการแบบ รถสันดาป ไม่ใช่เหยียบพรวด พุ่งทันที ทาง ฮอนด้า เซทให้คันเร่งค่อนข้างมีความหน่วง เวลาเรjง มอเตอร์ จะค่อยๆ ปล่อยพลัง ในโหมดใช้งานปกติทั่วไป และ ถึงต่อให้โหมดสปอร์ต การตอบสนอ งก็ไม่ทะลึ่งเร่งพรวดพราด เน้นสนุกเร้าใจ มาแบบค่อยเป็นค่อยไป นับว่าดี กับคนที่เพิ่งข้ามมาจากรถสันดาป และเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของฮอนด้า

แต่ความดีความชอบรถคันนี้ ยังไม่หมดแค่นี้ Honda E:N1 ยังโดดเด่นเรื่องของ การควบคุม หรือ ภาษา นักทดสอบ เรียกว่า Handling

การควบคุม เป็นเรื่องที่สำคัญ​ต่อรถทุกคัน ไม่ว่าจะรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถสันดาปทั่วไป ถ้ารถควบคุมได้ดี มันจะเข้ามือง่าย ขับง่าย คนขับก็มั่นใจ

ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาขายในไทย ผมได้ทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น มีเพียงไม่กี่รุ่นที่ทำเรื่องนี้ได้ดี จนต้องยกมือเยี่ยมให้

ปัญหาของรถยนต์ไฟฟ้า ข้อสำคัญ คือมันมีแบตเตอร์รี่ที่มีน้ำหนักมหาศาล ยิ่งแบตใหญ่ ยิ่งหนัก บรรดาวิศวกร จึงเล่นง่ายด้วยการ เอาพวกมัน วางไว้ที่พื้นห้องโดยสาร ตำแหน่งต่ำสุดของตัวรถ เพื่อจะได้ทั้งถ่วง และ กระจายน้ำหนัก ได้ดี

ทางฮอนด้า เดินตามเกมนี้ แต่พวกเขา ศึกษาลงไปลึกกว่านั้น เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า แล้วพบว่า รถยนต์ไฟฟ้ามีปัญหา กับคนหลายกลุ่มที่อาจรู้สึกเมารถได้ง่าย และ แม้กับคนทั่วไป บางครั้งก็อาจรู้สึกแบบเดียวกัน

อันมาจาก การเร่งรวดเร็วของมอเตอร์ รวมถึง เวลาเบรก หรือ ชะลอ ก็ไม่ใช่การไหล โดยธรรมชาติ แต่เป็นการใช้แรงหน่วงจากมอเตอร์

ทำให้ รถมีอาการไม่เป็นธรรมชาติ ในการถ่ายน้ำหนัก และ ทำให้คนจำนวนมาก มีอาการ Motion Sick เกิดขึ้น

ทางฮอนด้า ลงแรงอย่างหนัก ในการทำรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีความเหมือนอาการรถสันดาปมากที่สุด

อย่างแรก แบตเตอร์รี่วางที่จุดต่ำสุดของตัวถัง จึงเป็นเหตุให้แบตถูกห้อยลงมาใต้รถอีก เพื่อทำให้ รถตอบสนองในเรื่องศูนย์ถ่วงได้ดี กลับกัยโซเชี่ยลก็แซวว่า เป็นท้องช้าง

ประการต่อมา ปรับช่วงล่างใหม่ยกเซท แม้ทางทีมจะไม่ได้ บอกว่าทำอะไรไปบ้าง จนยากจะหาคำตอบมาเล่าสู่กันฟัง

ตอนลองขับ เท่าที่จับสัมผัส รถมีการเซท โช๊คอัพ และ สปริง อาการออกมาทางเฟิร์มนุ่ม นั่งสบายขับสบาย รถสามารถเก็บอาการรอบต่ำถนน และ แรงกระแทกจากหลุมเล็กๆได้

รถจะมีอาการซับแรงกระเทือนเร็ว แต่จะค่อยๆ คืนตัว ไม่กระแทกตึงตัง ทำให้สัมผัส ค่อนข้างไปทางนั่งสบายพอสมควร

ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ กับรถที่มีขนาดแบตเตอร์รี่เท่ากัน อย่าง Volvo XC40 ช่วงล่างคันนี้มีอาการค่อนข้างเฟิร์มกว่า ขับแล้วมั่นใจกว่า กระด้างน้อยกว่า

ยิ่งมีโอกาส ลองมุดซ้ายมุดขวาดู เปลี่ยนเลนที่ความเร็วสูง ช่วงล่างจะค่อนข้างมั่นคง มีการโคลงตัว ระหว่างการเปลี่ยนเลนน้อยมาก

ไม่เพียงเท่านี้ การเซทพวงมาลัย ยังค่อนข้างให้ความมั่นใจ ไม่ไวเกินไป กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ความขับชิลสบายๆ และ บทจะบู้ก็ทำได้ดี ไม่แพ้กัน

นอกจากนี้ ตัวรถ ยังมี มรดกสำคัญ Decelerator Paddle หรือ แป้นคุม Kers สามารถปรับการหน่วงได้ทันทีตามต้องการ ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดการหน่วง เลือกเพิ่มหรือลด ก็กดได้ทันที

ช่วยให้รถมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ไม่น่าเบื่อจำเจ ต่างจากบรรดารถจากผู้ผลิตชาวจีนที่คุณจะต้องตั้งค่าอย่างตายตัว จะปรับก็ต้องทำผ่านหน้าจอ

แต่คันนี้อยากปรับก็กดเอาเลย ง่ายๆ ที่แป้น ปรับได้ดั่งใจ ช่วยเพิ่มอำนาจการควบคุม มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในการขับขี่ความเร็วสูง

ถ้าหากให้ผม เปรียบเทียบ Honda E:N1 จะอยู่ กึ่งกลางของรถยนต์ไฟฟ้า BYD Atto 3 กับ Volvo XC40 Single Motor พอดี นับเป็นส่วนผสม ที่เชื่อว่า หลายคนอาจจะต้องการ จากรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน บู้ได้ขับสบายด้วย และยังมีความเป็นรถสันดาป ที่จะหยิบใช้ ปรับ Kers ปรับโหมด ก็ง่ายและใกล้มือ

ระยะทางอย่างแม่น..แต่

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง ก็คือ ระยะทางการขับขี่ที่ไม่ค่อยแม่นยำสักเท่าไร รถยนต์หลายรุ่นพยายามหาแนวคิดทางออกในเรื่องนี้ เช่นใช้ระบบ Google Built in เพื่อทำให้ผู้ขับขี่พอจะเดาระยะทาง และวางแผนในการเดินทางได้ง่ายขึ้น

สำหรับฮอนด้า พวกเขาไม่ได้ใช้ระบบดังกล่าว แต่มีการคำนวนระยะทางมาอย่างดี และค่อนข้างแม่น ใกล้เคียง กับความสามารถที่ขับขี่ จริงพอสมควร

ตั้งแต่เริ่มทริป เรามี ระยะทาง 365 ก.ม.​ แบตเตอร์รี่ 96% เราขับ จาก ฮอนด้า ไปยัง เขื่อนขุนด่าน ปราการชล แล้ว กลับมาที่ฮอนด้า อีกครั้ง มีระยะทางไปกลับรวม 266 ก.ม.

ตอนกลับถึง ฮอนด้า เราเหลือแบตเตอร์รี่ 26% และขับ ได้ อีก ราวๆ 96 ก.ม. จากหน้าจอ หากเราเอาระยะทางคงเหลือ บวกกับระยะทางที่เราวิ่งไปแล้ว ก็จะมีระยะทางราวๆ 362 ก.ม. ต่อการชาร์จ ถือว่า ค่อนข้างแม่นยำ พอตัว

อย่างไรก็ดี เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดของ Honda E:N 1 ในเวลานี้ คือ การชาร์จ DC

ในระหว่างการทดสอบ เราทดลองชาร์จ Dc หลายครั้ง แต่ก็ต้องยกเลิก ทุกครั้ง เพราะพบว่า รถ รับ การชาร์จไฟเพียง 22-23 KWh เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างอยู่ในระดับช้ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ แม้แต่ตู้ที่ฮอนด้าเองก็เหอะ

ตามการเคลมของฮอนด้า ระบุว่า สามารถชาร์จเร็วได้ ราวๆ 78 KWh นั่นไม่ได้ต่างจากรถที่ขายอยู่ในตลาดเท่าไรนัก

หลังผมบอกกับ ทางฮอนด้า ก็ได้ทราบว่า ปัญหานี้ ได้รับการพูดถึงอยู่ และ กำลังดำเนินการแก้ไข ประเด็นที่ชาร์จได้ไม่เร็ว เนื่องจาก ทางวิศวกร เป็นห่วงว่า ความร้อนสะสมมาก อาจนำไปสู่เหตุไฟไหม้ได้ ระบบ จึงมีการปรับค่า ไม่ให้ชาร์จเร็วมาก โดยเฉพาะในเวลาอากาศร้อน ตามสไตล์คนญี่ปุ่นขี้กังวล เรื่องความปลอดภัย

Honda E:N1 Review

แต่ความจริงแล้ว รถจีน ทุกรุ่น รวมถึง กระทั่ง Nissan Leaf ยัง ที่มีอายุเก่ากว่ามาก และ ใช้แบตเตอร์รี่ระบายความร้อยด้วยอากาศ สามารถชาร์จไฟฟ้าได้เร็วกว่า Honda E:N1 อย่างช้าสุด คือ 50 KW กับ Nissan Leaf ซึ่งคุณจะชาร์จ 20-80% ได้ในราวๆ 45 นาที

ด้วยเหตุนี้ ในความเห็นส่วนตัว จึงมองว่า การชาร์จ DC ที่พบในระหว่างการทดสอบ ค่อนข้างช้า และ จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งก็ไม่น่าจะยาก เพราะ เรื่องนี้ เป็นปัญหาทางด้าน Soft Ware ที่ต้องปรับให้กับเมืองไทย ก็เท่านั้น เอง เชื่อว่าน่าจะไม่เกินความสามารถ ของฮอนด้า

คำถามเดียว คือ ต้องใช้เวลาอีกนาน แค่ไหนในเรื่องนี้ ก็เป็น คำถามที่อาจทำให้หลายคนต้องคิด เพราะ การออกมาเป็นรถฟลีท สำหรับองค์กรณ์ ก็อาจจะมีการวิ่งงานระยะไกล ให้คุ้มค่าเช่า ซึ่งการชาร์จ Dc เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ในการใช้งานของลูกค้า

นอกจากนี้ ผมยังพบว่า Software ในรถ ไม่สามารถ แสดงค่าผลความเร็วในการชาร์จ ได้ นับว่าแปลกมากๆ ทั้งที่ ควรจะสามารถ ทำได้และเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องมีในรถยนต์ไฟฟ้า

Honda E:N 1 มีดีก็เยอะ ที่ต้องปรับปรุงก็แยะ แต่ ขายเหอะ ฮอนด้า

หลังจากลองขับ Honda E:N 1 ในวันนี้ แม้ว่าภาพของมัน จะคือ Hond a HR-V ไฟฟ้า จนคนจำคอมเม้นท์กันสนุกปากในโซเชี่ยลไปแล้ว

หลังขับ ผมคิดว่ามันแตกต่างพอสมควร ถึง โครงสร้างหน้าตา จะไม่ต่าง แต่ การขับขี่ต่างกันโดยสิ้นเชิง EN1 มีความนุ่มนั่งสบายขับสบาย เหมาะสำหรับการเป็นรถเดินทางไกล ใช้ในครอบครัว

Honda E:N1 Review

จุดเด่น เทียบกับ EV อื่นๆ อยู่ที่ช่วงล่างและการควบคุมที่ดีกว่า รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน และ มันทำได้ดีพอๆ กับ วอลโว่ คต่างเพียง พลังขับน้อยกว่าทางวอลโว่ และพลังขับน้อยกว่า

น่าเสียดาย ฮอนด้า เดินเกม ปล่อยเช่า อาจจะมุ่งเป้าลูกค้าองค์กร ต้องการทดลองดูก่อนถึงความสนใจ ทำให้สาวกคนรักฮอนด้า ที่พร้อมจะจ่ายเงินซื้อ EV มาเฉิดฉายหลายคน ถึงกับเซ็ง

จะว่าทำราคาไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่มีใครรู้ความลับในองค์กรฮอนด้า อย่างแท้จริง มีเพียงแต่เรื่องลือกัน ฟังมาเขาเล่าว่า เหตุใด จึงตัดสินใจไม่ขาย

หลังลองขับ ผมว่า รถคันนี้ จะตั้งราคาแพง ก็ไม่ใช้เรื่องน่าแปลกอะไร รถขับดี เหนือรถสไตล์เดียวกัน จากจีน หลายขุม มีความเป็นฮอนด้าชัดเจน และยังทำได้ดีใกล้เคียงรถจากแบรนด์พรีเมี่ยม ไม่น่าแปลกใจ หากราคาขายจริงจะสูง กว่ารถจีน สักหน่อย รถญี่ปุ่นก็เป็นแบบนั้นมานาน ไม่ใช่หรือ

ดังนั้น จากที่ขับ ถ้าจะขายแล้วราคาแพง ก็จะคัดคนที่จะมาจับจอง เป็นเจ้าของ EN1 ไปในตัว ซึ่งท้ายสุด จะเหลือคนที่รักแบรนด์ ฮอนด้า จริงๆ คนที่ยอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้ขับฮอนด้าที่ล้ำสมัยที่สุด

ผมเชื่อว่า มีคนรอจะซื้อรถคันนี้ไม่น้อย ถ้าคิดว่าปล่อยเช่า แล้วยังเดินไม่ดี ลองปล่อยขาย แบบพร้อมรับซื้อคืน ก็เป็นอีกทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ ก็พร้อมเช่นกัน

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่