ตั้งแต่เปิดตัวออกมา เมื่อช่วงปีที่แล้ว นิสสัน เป็ผู้จุดประกายความคึกคัก ของตลาดรถกระบะให้เป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง ด้วยเจ้า นิสสัน นาวาร่าใหม่ ที่เผยโฉมออกมา และหนึ่งในนั้นที่หลายคนลืมไปเสียสิ้น ก็คือ  Nissan Navara  VL 4X4

การมาของรุ่นแต่งหล่อพร้อมลุยในรหัส  Pro 4X  ทำให้คนสนใจรถรุ่นนี้ไม่น้อย ด้วยการแต่งออกมาในสไตล์สปอร์ต ครบเครื่องในการลุย แต่ถ้าชีวิตคุณไม่ได้ คิดว่าจะต้องไปเที่ยวป่าบ่อย หรือ ผ่านทางเละเทะ เป็นประจำ ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมือง บางสัปดาห์ จะนึกครึ้มใจไปเที่ยวป่าบ้าง ไม่ได้เข้าไปบุกป่าฝ่าดงมาก สไตล์แบบนี้ เราอยากจะนำเสนอ รุ่น  VL   เป็นทางเลือกหนึ่ง

โดยรวมหน้าตาของ   Nissan Navara   รุ่น  VL   จะคล้ายกับ นาวาร่าทั่วไป ทางนิสสัน ตัดสินใจมอบสไตล์หรูเข้ากับลุคดูพร้อมลุย เริ่มจากกระจังหน้าโครเมี่ยมขนาดใหญ่ มาพร้อมไฟหน้า  LED   โปรเจคเตอร์  4  ดวง ทรงไฟเปลี่ยนใหม่ มาเป็นเหลี่ยมจัดมากขึ้น คล้ายในยุคย้อนไป   D40   อยู่บ้างในบางอารมณ์ นิสสัน เพิ่มโจทย์ความหรูครบลงตัวมากขึ้นในรุ่นนี้ ด้วยการยัดล้ออัลลอย ขนาดใหญ่  18  นิ้ว ใส่เข้ามาตอบการขับขี่ ยางเป็นบางปกติ Bridge Stone Dueler H/T   ใช้ได้บนถนนทั่วไป ใครสายลุยบ่อยหน่อย อาจจะต้องยอมควักกระเป๋าหายาง All Terrain   มาใช้ น่าจะดีกว่า

การออกแบบภาพรวมตามฉบับ   Unbreakable Design  เพิ่มความน่าใช่ในเรื่องสไตล์ดุมากขึ้น มัดกล้าม ช่วงซุ้มล้อหน้าขึ้น ฝาท้ายเป็นตูดเป็ด พร้อมคำว่า นาวาร่า ปั้มขึ้นรูป เพิ่มความงาม

บนหลังคา ติดตั้งชุดราวหลังคา พร้อมในเรื่องการบรรทุกของ ถ้าจะติดแร็ค ก็ต้องไปจัดหาคานขวางมาเพิ่ม  ก็พร้อมงานทันที กระบะท้ายก็ไม่มีลูกเล่นอะไรหวือหวา แบบ   Pro 4X  

จะเรียกว่า นี่คือกระบะพร้อมลุย เพลนๆ แบบเดิม ก็คงจะถูกต้อง สิ่งที่ได้มาเพิ่มเติมในรุ่นใหม่ คงเป็นความรู้สึกหรูหรา ดูใช้งานได้ในหลายโอกาส

เปิดประตูก้าวขึ้นห้องโดยสาร ภายในตัว   VL   มีรายละเอียดเล็กน้อย ต่างจากตัว   Pro 4X   ที่เคยขับก่อนหน้านี้ อาทิเช่น เบาะนั่ง ตัดเย็บลายเบาะคนละแบบ แถมเบาะคนขับยังให้ระบบปรับไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น  

ส่วนอื่นๆ ถ้ามองเผินๆ ก็น่าจะเรียกว่า เหมือนกันแทบบทุกอย่างไม่ว่า จะเรือนไมล์ที่  พกจอข้อมูลขนาดใหญ่  7  นิ้ว ใส่เข้ามาให้ใช้งาน เครื่องเสียงจอสัมผัสขนาด 9  นิ้ว ที่ดูใหญ่มากขึ้น ระบบปรับอากาศ สามารถแยกอิสระ ซ้าย-ขวาได้ตามต้องการ แถมใจป้ำ ให้ฮีทเตอร์มาด้วย เผื่อใครต้องเดินทางไปเจออากาศหนาว สายเที่ยวดอยน่าจะถูกใจสิ่งนี้

ท้ายสุดกระจกแบบ  3  บานหน้าใส 3  บางหลังมืด หรือที่เรียกว่า  Privacy  Glass   เป็นจุดขายที่ทำให้รถออกมามีความน่าสนใจอย่างมาก ดูแตกต่างจากรถรุ่นอื่นอย่างชัดเจน

ด้านการโดยสาร   Nissan Navara   มาพร้อมชุดเบาะน่งที่มีความสบายพอสมควรในคู่หน้า เมื่อเราได้เบาะไฟฟ้ามาเป็นอาวุธประจำกาย ก็ทำให้รถตอบสนองการเดินทางดีขึ้น การจัดหาท่านั่งเวลาขับขี่ทำได้ง่าย และสะดวกสบาย มีที่ดันหลังมาให้ด้วยในรุ่นนี้ 

ขณะที่การนั่งโดยสารตอนหลังก็มีดีไม่แพ้กัน ตัวเบาะถูกทำให้ สามารถตอบสนองในการโดยสารดีขึ้น เทียบกับรุ่นเดิม ถึงจะยังนั่งแล้วค่อนข้างจะชันหลังอยู่บ้าง ก้มีการจัดองค์ประกอบให้เอน ขึ้นกว่ารุ่นเดิมสักหน่อย ผู้โดยสารตอนหลัง ก้มีข้างของ จำเป็นต้องใช้ให้มาครบเครื่อง ทั้งช่องแอร์ ช่องชาร์จไฟ รวมถึงที่เท้าแขน และที่วางแก้วน้ำ 

ที่ดูรู้สึกขัดใจเล็ก สำหรับผม คือ ช่องวางของเล็กๆ เข้าใจว่าตั้งใจจะทำมาให้วางโทรศัพท์ ในความจริง เรามักจะซุกโทรศัพท์ไว้ที่อื่น ด้วยช่องนี้ ไม่ได้ลึกมาก และมือถือสมัยนี้ก็ยาวใหญ่เสียจริง 

สมรรถนะการขับขี่ 

ใต้เรือนร่าง   Nissan Navara  2.3  VL 4X4   แนะนำ ขุมพลังดีเซล 2.3 ลิตร เทอร์โบชาร์จ คู่ พร้อมเกียร์ออโต้ 7   สปีด มันทำกำลังขับสูงสุด  190 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด   450  นิวตันเมตร

เครื่องยนต์รุ่นนี้ อย่สงที่เดาได้ เป้นการส่งทอดต่อมาจาก นิสสัน เทอร์ร่าที่ใช้มานานหลายปี ดีดับ ที่จริงไทย เป็นประเทศที่ 2 ต่อจ่ก ออสเตรเลีย ที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นนี้ ขณะที่บ้านเมืองอื่น ส่วนใหญ่ ยังตัดสินใจเดินหน้าต่อ ด้วยเครื่องยนต์ YD 2.5   เดิม ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่เริ่ม 

กำลังวังชา เจ้า นาวาร่า พูดตามจริง ก็ไม่ได้ มากมายอย่างที่หลายคนคาด สักเท่าไร เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น อาทิ โตดยต้า และ ฟอร์ด ที่มีกำลัง ทะลุ 200 แรงม้า ไปก่อนแล้ว 

หากพละกำลังเครื่องยนต์รุ่นนี้เทียบกับ ของอีซูซุ 3.0 ลิตร และมีจำนวนเกียร์ขับเคลื่อนมากกว่าด้วย นั่นหมายถึงการตอบสนองในการขับขี่ ย่อมดีกว่า หรืออย่างแย่ที่สุดเท่ากัน 

จากที่สัมผัส นาวาร่า ตลอดหลายวัน จุดเด่น ของเครื่องยนต์บล็อกใหม่ อยู่ที่ความต่อเนื่องของระบบเทอร์โบชาร์จ การให้ ระบบเทอร์โบคู่ มาเป็นอาวุธประจำกาย ทำให้ รถสามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ดีขึ้น เปรียบกับเครื่องยนต์รุ่นอื่น ที่โดยมากจะใช้ระบบเทอร์โบ แปรผัน เทอร์โบคุ่ อาศัยการทำงานแบบต่อเนื่อง คือ ลูกเล็กก่อน แล้วลูกใหญ่ค่อยทำงาน สร้างกำลังแรงดัน 

ทำให้เวลาขับแล้วรู้สึกรถมีกำลังตลอดเวลา ไม่มีช่วงไหน ที่ตอบสนองไม่ดี ยิ่งในช่วงการเดินทางที่ความเร็ว 90-130 ก.ม./ช.ม. การตอบสนองดีมาก เนื่องจาก ช่วงรอบเครื่องยนต์อยู่ในจังหวะ แรงบิดสุงสุด ทำงานระนาบต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า Flat Torque   

ผลคือ คุณไม่ต้องย่ำคันเร่งลึกมาก เพื่อจะแซง หรือ เพิ่มกำลังขับ ชุดเกียร์ 7สปีดเอง ก็ไม่ค่อยจะเปลี่ยนเกียร์บ่อย  สักเท่าไร เว้นเราเหยียบคันเร่ง มากๆ จะเปลี่ยนมา ตำแหน่ง 6 ก่อน แต่ส่วนใหญ่จะใช้ เกียร์ 5 ในการเร่งแซง มากกว่า เพื่อให้มันใจว่า คุณไปพ้น แน่นอน 

อย่างไรก็ดี ปัญฆาของเครื่องยนต์ เทอร์โบคู่ คือ มันต้องทำงานได้ดี เมื่อ ขับในความเร็วที่เหมาะสม การขับในเมือง ค่อนข้างจะต้องยอมรับว่า มันซดน้ำมันเอาเรื่อง เนื่องจากชุดเกียร์ ทดเกียร์ไม่ถึงเกียร์ 7 และนิสีสน ไม่ได้ออกแบบให้ชุดเกีร์ข้ามอัตราทด เพื่อสร้างความประหยัดสูงสุดแก่ผู้ใช้ 

ยิ่งกว่านี้ นิสสัน ไม่ไดติดตั้งระบบ  idling Stop   หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราวมาให้ลูกค้า ดังนั้น ช่วงในเมือง เจ้าเครื่อว 2.3 บล็อกนี้ ก็เรียกว่า ซดนรกแตกเหมือนกัน 

ตลอด 2-3 วัน แรกที่นำมาใช้ขับขี่ในเมือง น้ำมันหายตัวเร็วมาก ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยการจราจรติดขัด แต่ส่วนสำคัญ รถกระบะมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ เมื่อ ไม่มีระบบหยุดการทำงาานเครื่องยนต์ชั่วคราวมาด้วยก็ย่อมซดน้ำมันมากกว่า จากการทดลองขับแบบวัดในสภาพการจราจรติดจริง ขับมาจากในเมือง ผมได้อัตราประหยัดเพียง 9.71 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น ทำเอาแปลกใจ ที่เครื่องยนต์ขนาดเล็กลง กลับซดน้ำมันไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก ทั้งที่เครื่องยนต์ก็น่าจะซดน้อยลง

กลับกันในภาวะการขับขี่นอกเมือง ถ้าขับด้วยความเร็วปกติทั่วไป 110-140 ก.ม./ช.ม. เดินทางตามนิสัยคนไทยจริงๆ จากที่ลองขับด้วยความเร็วดังกล่าวมา 166 กิโลเมตร เติมคืนถึงไป 14.03 ลิตร สรุป อัตราประหยัดได้ 11.8 ก.ม./ลิตร 

ในการขับขี่ ครั้งที่ 2 เปลี่ยนพฟติกรรมใหม่ ขับด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ ไม่เหยียบคันเร่งกระชาก และทำให้เครื่องยนต์กับเกียร์ เกิดการคิกดาวน์น้อยที่สุด ความเร็ว ตกลงมาอยู่ในช่วง 90-110 ก.ม./ช.ม ผล คือ อัตราประหยัดดีขึ้น เป็น 13.0 ก.ม./ลิตร 

โดยสรุป เครื่องยนต์ใหม่ ทำงานต่อเนื่องดีขึ้น แต่อัตราประหยัด พูดตามตรงก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมสักเท่าไรนัก 

การควบคุม และกันสะเทือน 

ถ้าให้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีอีกอย่างของ นาวาร่า คงต้องยกให้การเซทรถในแง่การควบคุม และระบบกันสะเทือนที่มีความแตกต่างกัน 

นิสสัน เปิดเผยมาตั้งแต่ ตอนเปิดตัวว่า  Nissan Navara  ใหม่ มีการเปลี่ยนระบบควบคุมบังคับเลี้ยว โดยเฉพาะชุดแร้คใหม่ มีอัตราทดมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เพื่อเพิ้มการตอบสนองในการขับขี่มากขึ้น 

ขณะที่นิสสัน นาวาร่ารุ่นเดิม นั้น ช่วงล่างถูกเซทให้นั่งสบายนุ่มนวล สวรรค์ของผู้โดยสาร อย่างแท้จริง กลับกัน ถ้าคุณจะต้งมานั่งอยู่หลังพวงมาลัย จะรู้สึกว่ามันเป็นรถที่น่าจะมีช่วงล่างที่มั่นใจกว่านี้สักหน่อย 

นิสสัน รู้จุดบอดข้อนี้เช่นกัน จึงจัดการเซทช่วงล่าง กระบะใหม่หมด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับออกมาบนถนน นาวาร่า ใหม่ ดูจะแข็งขึ้นกว่าเดิมชัดเจน เมื่อเปรียบกับรุ่นเก่า 

รุ่น VL 4X4   เป็นรุ่นเดียวที่มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แมถยางให้ยางชั้นยอด  Toyo Open Country   มาอีกต่างหาก แม้ว่ายางชุดนี้ เป็นยางประเภท  Highway  Terrain   ปกติ  ไม่ใช่ยางพร้อมลุย ข้อดีของมันคือ เก็บเสียงดีกว่า รีดน้ำดีกว่า และ แม้จะขับท่ามกลางฝนตก ก็ไม่หวั่นใจ เรื่องสมรรถนะในการขับขี่เท่าไร 

การให้ล้อ 18 นิ้ว ทำให้ การซับแรงกระเทือน ค่อนข้างกระชับกว่า รุ่น  Pro 4X  จากที่เคยสัมผัสมา รถดูตอบสนองในการควบคุมขับเคลื่อน ดีกว่ามากรุ่นพร้อมลุยค่อนข้าง มาก 

ยิ่งการเทพวงมาลัยใหม่มีระยะฟรีน้อยลง และอัตราทดมากขึ้น เพียงเหวี่ยงพวงมาลัยนิดเดียว รถก็พร้อมเปลี่ยนทิศทาง ยิ่งทำให้ มันขับง่ายขึ้นพอสมควร 

รถเซทการทรงตัวค่อนข้างดี ในแง่การเข้าโค้ง มันอยู่ตรงกลางระหว่าง  Ford Ranger  กับ   Isuzu D-max  ใหม่ ไม่แข็งมาก เกินไป มีการให้ตัวบ้างในระหว่างการขับขี่

ช่วงล่างอาจให้ความรู้สึกน่ารำคาญไม่น้อยเวลาขับในเมือง มันชอบทะเลาะกับหลุมบ่อ ถนนปะ เนื่องจากเราไม่สามารถใช้ความเร็วได้สูงไปกว่า 80 ก.ม./ช.ม. 

เมื่อขับนอกเมือง ออกเดินทางไกล ช่วงล่างดูจะปรับตัวนิ่มนวลขึ้น กลายเป็นรถขับทางไกลสบายมากๆ ช่วงล่างที่ดูตึงตับซบแรงจากถนนได้ดี ให้ความรู้สึกเป็นรถนั่งสบาย ตลอดการเดินทางไกล ยกเว้นในบางจังหวะที่ต้องมีการกระแทกอย่างรุนแรงจริงๆ เช่น คุณหลบหลุมไม่พ้น หรือ ในจังหวะคอสะพาน เวลาวิ่งมาด้วยความเร็ว 

ประเด็นอยู่ที่ระบบช่วงล่างหลัง แบบแหนบหลายแผ่นซ้อน ยังมีความตึงตังในการใช้งานอยู่บ้าง แม้ว่าจะเซทมาอย่างดี ด้วยการให้ระบบแหนบใต้เพลา ก็ยังไม่สามารถลบข้อเท็จจริง ของ ระบบนี้ไปได้ 

จริงๆ ส่วนตัวแอบเสียดายที่นิสสัน ยังไม่ยอมแนะนำระบบช่วงล่างอิสระในประเทศไทย ทั้งที่ในออสเตรเลีย และ แม้แต่มาเลเซีย นาวาร่าใหม่จะมาพร้อมระบบช่วงล่างกึ่งอิสระ ใช้ระบบคอยย์สปริงแทนการใช้แหนบ มันซับแรงสะเทือนดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย 

เพียงแต่ ในแง่การใช้งานต้องแลกกับอำนาจการบรรทุก อันที่จริงรถกระบะ 4 ประตู ไม่มีใครเอาไปขนของหนักกันอยู่แล้ว การใช้ระบบคอยย์สปริง ก็เป็นหนึ่งในทางออกที่ดีไม่น้อย จนอยากฝากไว้ให้พิจารณา 

ลองลุยสั้นๆ ของครบเหมือนกันนี่หว่า 

เมื่อมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เป็นธรรมเนียม ของเรที่ต้องนำมาทดลองระบบการลุยบ้าง แม้ว่างวดนี้โควิดระบาด เส้นทางออฟโรด ปิด จนไม่มีที่ให้ลุยจริงจัง เหลือให้ไปเละเทะ 

แต่จากที่สำรวจในเบื้องต้น เจ้า Nissan Navara  VL   ก็มีข้าวของให้มาครบเครื่อง ไม่ย่อหย่อนไปกว่า รุ่น  Pro 4X  เลย ไม่ว่าจะ 

  • ระบบช่วยลงทางลาดชัน
  • ระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน 
  • เฟืองท้ายล็อคกำลังขับด้วยไฟฟ้า 

และโหมดพร้อมลุย 3 โหมด 

สิ่งเดียวที่ดูจะขาดในรถคันนี้ คือ ยาง  all Terrain   พร้อมลุย จากโรงงาน  เป็นสิ่งเดียวที่รถรุ่นนี้ขาด 

เส้นทางที่เราเลือกมาในวันนี้เป็น หิน กับ หญ้า ก็เลย ไม่มีปัญหาอะไรในการเดินทาง ยางจะเริ่มเป็นปัญหากับคุณ เมื่อขับลุยในหน้าฝน ไปทางดินที่มีลักษณะ เป็นโคลนเป็นเลน ถ้าเส้นทางลุยประจำเป็นแบบนั้น จะเริ่นงานเข้าทันที เพระา ยาง  H/T (High Way Terrain)   ไม่ถูกโฉลกกับพวกมัน จะฟรีทิ้ง จนไม่สามารถขับเคลื่อนได้ และส่งกำลังไปไม่ถึงพื้นจริงๆ 

เท่าที่ลองขับ กำลังเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เรียกว่าเหลือเฟือ ในการผ่านอุปสรรค และจริงๆ เทียบกับเครื่อง 3.0 จาก อีซูซุ ที่มีกำลังเท่ากัน กลับรู้สึกถึงการตอบสนองดีกว่า ในเส้นทางลุย บางครั้งการเดินคันเร่งมากไป ทำให้การผ่านอุปสรรคยากขึ้น เช่น ล้อตะกุยมากเกินไป จนแทนที่จะรอด กลับติด 

หรือ อย่างการไต่ บางครั้ง ก็ไม่ได้ว่า ต้องการที่จะเร่งเพื่อส่งแรงไปเร็ว การไต่ช้าๆ ต่อเนื่อง จะเป็นเส้นทางที่ส่วนใหญ่จะพบได้ในไทย มากกว่า เครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดสูงสุด ต่อเนื่องจากเทอร์ดบคู่ มีการในเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่า มันตอบสนองดีกว่า อีซูซุในหลายๆ ทาง 

แต่ถ้าเอากันตามความจริง เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร จะรู้สึกว่า ไม่เหนือยเวลาต้องผ่านทางลุย 

ส่วนช่วงล่างกับทางลุย ที่เรามาวันนี้ ทางหิน ยังทำได้ดี ตอบสนองได้ มันก้จะต้องมีบ้างในเรื่องการสะเทือนเวลาไปขับลุย เป็นสิ่งที่ไม่สามารถห้ามได้ 

Nissan Navara 2.3 VL 4×4  การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดของกลุ่มกระบะ

หลายปีที่ผ่านมา ผมต้องยอมรับว่ ารถกระบะ มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก สู่ภาพลักษณ์เรื่องลุยมากขึ้น จนนักข่าวแซววกัน ว่า “ใครๆ ก็อยากเป็นเรนเจอร์” 

นิสสันในที่สุดก็ค้นพบตัวเอง ว่าพวกเขาก็มีดีทางด้านกระบะในแง่การลุยไม่แพ้กัน ตั้งแต่สมัยรุ่นปู่  Datsun  ช้างเหยียบ จนมาถึง Nissan  Navara  D40   นิสสัน ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนารถให้พร้อมลุยเลยสักครั้ง 

กว่า 6 ปี ตั้งแต่ทำตลาด นิสสันได้พัฒนารถรุ่นนี้ ให้ตอบสนองในการขับขี่ดีขึ้น หนนี้ นิสสันค้นพบว่า หน้าตาแบบอเมริกา ไปได้ในหลายตลาด และถูกใจคนทั่วโลก นิสสัน จึงเอาหน้าตาละม้ายคล้ายหันมาใส่ในนาวาร่า 

ทีมออกแบบยอมรับ ตอนเปิดตัวว่า ทีมออกแบบนาวาร่า และ ไททัน ทำงาานใกล้ชิดกัน เพื่อมอบงานออกแบบใหม่ที่มีเสน่ห์ให้ลูกค้า 

นั่นกลายเป็นจุดขายของนิสัสน ที่ทำให้ นาวาร่าใหม่ ออกมาดีกว่าเดิมมาก จนทุกคนออกปากชม ในเรื่องงานออกแบบ สะกดใจทุครั้งที่มองมัน ให้รู้สึกว่าอยากจะจับจองเป็นเจ้าของไม่น้อย 

ด้านสมรรถนะการขับขี่ เรียกว่า ดีขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะการซับแรงสะเทือน การบังคับเลี้ยวกระชับขึ้น และเครื่องยนต์ใหม่ ที่ตอบสนองดีขึ้น 

มันเป็นการ Big Minorchange   ที่ต่อลมหายใจ ให้นิสสัน ไปได้มากกว่าเดิมพอสมควร จนรู้สึกว่า นิสสันทำการบ้านมาได้ดีมาก 

ส่วนที่กลับดูจะใส่ใจน้อยไปหน่อย เป็นเรื่องการออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่ดูจะมีอะไรไม่มากอย่างที่คิด ถึงผมจะกล่าวแบบนั้น ก็มี เบาะนั่งออกแบบใหม่ รุ่น VL   ให้ เบาะนั่งปรับไฟฟ้ามาด้วย  เรือนไมล์ใหม่ที่มีชุดจอ รวมถึง เครื่องเสียงใหม่ที่มี  apple Car Play  มาให้

ท้ายสุดขาดไม่ได้ กับระบบความปลอดภัย ครบเครื่องยกเซทมาให้ ได้ใช้ เสียอย่างเดียว จะปิดระบบทิ้งไปเลยก็ไม่ได้ ทำให้ บางครั้งเวลาขับเร็วน่ารำคาญไม่น้อย 

ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทำให้ นิสสัน นาวาร่าน่าใช้มากขึ้น  จนเป็นรถที่เราพูดตามตรงว่า ไมเนอร์เชนจ์ ออกมาได้ดี จนสามารถยืนระยะ กับคู่แข่งไปได้ดีอีกหลายปี เลยทีเดียว 

Nissan  Navara VL   อาจไม่ได้ดูลุย แต่มันมาพร้อมระบบความปลอดภัย ที่ครบเครื่องครบครัน กว่าที่คิด คุณได้ รถที่ขับดีตอบสนองดี ลุยได้ในบางโอกาาส และดูมีภาพลักษณ์หรูหรา มีเสน่ห์  ราคาอาจจะแพงสักหน่อย แต่ในความเป็นจริง กับของที่ให้ และการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ ราคานี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่