ออสเตรเลียเป็นที่ที่สามต่อจากนิวซีแลนด์และไทยเปิดตัว Ford Everest Wlidtrak ที่นำดีเอ็นเอความเข้มมาจากกระบะ Ranger Wildtrak แต่พิเศษทั้งคัน 

หล่อจากโรงงานตั้งแต่กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่สีดำเข้มพร้อมโลโก้วงรีสีน้ำเงินทับเส้นแนวนอนสองเส้น พร้อมตราชื่อ Wildtrak ที่ขอบฝากระโปรงหน้า ติดตั้งไฟหน้ารูปตัว C แบบ LED ที่มีไฟ LED Daytime รูปตัว C ในโคมเดียวกัน กลมกลืนกับชุดเสริมกันชนหน้าและส่วนล่างมีคิ้วชายล่างสีเงินและไฟตัดหมอกหน้า LED

ล้ออัลลอยหกก้านทูโทนลายพิเศษขนาด 20 นิ้ว ราวหลังคาแบบมีช่องยกมาจาก Everest Platinum โลโก้ Wildtrak สีดำที่ด้านท้ายโดดเด่นเป็นสง่าด้วยไฟท้าย LED กับประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้าเตะได้ Kick Activated พร้อมชุดแต่งสีดำทั้งชิ้นตั้งแต่กระจกมอง คิ้วระบายอากาศที่บังโคลนหน้าซ้าย-ขวา คิ้วด้านท้าย

ภายในเท่ตั้งแต่เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายสีส้ม ปักชื่อ Wildtrak ที่ตัวเบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 10 ทิศทางสำหรับคนขับและ 8 ทิศทางสำหรับคนนั่ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านหุ้มหนังเดินด้ายส้ม เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับไฟฟ้า มีที่ชาร์จแบบไร้สาย พร้อมเบรกมือไฟฟ้า แผงมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 12 นิ้ว เชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4 พร้อมลำโพง 10 จุด หน้าจอทัชสกรีนแนวตั้ง

พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass™ ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์สั่ง สตาร์ทรถผ่านทางแอปฯ ได้ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็กสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ

ออสเตรเลียใช้ดีเซลเทอร์โบขนาดเดียวเป็นแบบโบเดี่ยว 3.0 ลิตร Power Stroke กำลังมากถึง 250 แรงม้าแรงบิด 600 นิวตันเมตรจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด Electronic Shifter รุ่น 10R80 พร้อมขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System ทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery และยามลุยมีทั้งโหมด Sand, Mud/Ruts

Ford Everest Wildtrak ทำตลาดต่างจากนิวซีแลนด์และไทยตรงที่ขายแบบ Limited Ediiton เพียง 800 คันในราคาไม่รวมค่า on-road อยู่ที่ $73,090 หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ 1,685,000 บาท

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่