หลังปล่อยให้คู่แข่งพากันตีตื้นพัฒนารถใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดก็ถึงเวลาสักทีที่ทางค่ายจะต้องปรับโฉม Ducati Panigale V4 R รุ่นใหม่ปี 2023 ออกมา เพื่อหนีคู่แข่งเหล่านั้นให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น

2023 Ducati Panigale V4 R

Ducati Panigale V4 R 2023 มาพร้อมกับการปรับปรุงใหม่ในหลายๆด้าน ที่เรียกได้ว่าน่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยจุดขายสำคัญที่สุดของมันในครั้งนี้ ก็คือเรื่องของเครื่องยนต์ Desmosedici Stradale R แบบ V4 90 องศา ความจุ 998cc DOHC พร้อมกลไก Desmodromic Valve ระบายความร้อนด้วยน้ำ หมุนแบบทวนเข็มนาฬิกา (ลดแรงต้านการเอียง) และจุดระบบแบบ Twin-Pulse (เหมือนตัวแข่ง MotoGP) ที่ได้รับการอัพเกรดครั้งใหญ่ ตั้งแต่

  • ลูกสูบอลูมิเนียมฟอร์จที่ถูกออกแบบใหม่ จนเบาลงกว่าเดิม 5 กรัม ช่วยลดแรงเฉื่อย (ปั่นรอบได้สูงขึ้น) พร้อมเคลือบสาร DLC เพื่อลดแรงเสียดทาน และเพิ่มความทนทาน แบบที่ใช้กับลูกสูบของเครื่องยนต์ตัวแข่ง MotoGP และ Formula 1 เป็นครั้งแรกในรถ Production Bike
  • แคมชาฟท์ปรับใหม่ เพิ่มระยะยกวาล์วไอดีสูงสุดอีก 1 มิลลิเมตร
  • ปากแตรแปรผันความยาวได้ ถูกปรับให้สามารถหดตัวได้มากกว่าเดิมอีก 5 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดอากาศขาเข้าช่วงย่านรอบเครื่องยนต์สูงๆได้ดียิ่งขึ้น
  • ก้านสูบไทเทเนียมแบบใหม่ ขยายรูน้ำมันเครื่องภายในก้านใหญ่ถึง 1.6 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และประสิทธิภาพในการหล่อลื่นรวมถึงการระบายความร้อนของ เพลาข้อเหวี่ยง ก้านสูบและลูกสูบ
  • ชุดคลัทช์แห้งใหม่ พัฒนาขึ้นจากการใช้งานในสนามแข่ง WSBK โดยหลักๆแล้วจะเน้นขนาดที่เล็กกว่าเดิม จนรีดน้ำหนักส่วนเกินออกไปได้มากถึง 800 กรัม
  • ปรับอัตราทดเกียร์ 1 และ 2 ให้ยาวขึ้น เพื่อลดการกระชากที่ไม่จำเป็นในจังหวะเปิดคันเร่งออกจากโค้ง, ปรับอัตราทดเกียร์ 6 ใหม่ เพื่อความต่อเนื่องในการเรียกอัตราเร่งความเร็วปลาย ซึ่งเป็นอัตราทดเดียวกันกับตัวแข่งในศึก WSBK ปี 2022

จากการปรับปรุงทั้งหมดที่ไล่เรียงมา จึงทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้ สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ 218 แรงม้า PS ที่ 15,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 111.3 นิวตันเมตร ที่ 12,000 รอบ/นาที โดยมีรอบเครื่องยนต์สูงสุดที่ 16,500 รอบ/นาที ในเกียร์ 6 (ส่วนเกียร์ 1-5 จะถูกจำกัดไว้ที่ 16,000 รอบ/นาที)

ทว่านั่นกลับเป็นตัวเลขกำลังสูงสุด ในกรณีที่เครื่องยนต์ ยังคงทำงานร่วมกับชุดท่อไอเสียที่ออกแบบมา เพื่อให้รองรับมาตรฐานมลพิษระดับ Euro5 ในทวีปยุโรปเท่านั้น เพราะในทันทีที่ลูกค้าเลือกติดตั้งชุดท่อไอเสียไทเทเนียม-ฟูลซิสเต็มจาก Akrapovic ซึ่งเป็นท่อสำหรับใช้งานในสนามแข่งขันเป็นหลักเข้าไป

บวกกับปลดกล่อง ECU ใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจริงๆ คราวนี้มันก็จะสามารถเค้นแรงม้าได้มากขึ้นเป็น 237 PS ที่ 15,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 118 นิวตันเมตร ที่ 12,250 รอบ/นาที โดยที่น้ำหนักตัวรถแบบรวมของเหลวพร้อมขี่เอง ก็จะลดลงจาก 193.5 กิโลกรัม เหลือ 188.5 กิโลกรัมด้วย จากน้ำหนักส่วนเกินของท่อไอเสียที่หายไป

ไม่เพียงเท่านั้น ทาง Ducati ยังระบุอีกว่า เครื่องยนต์ลูกนี้ ยังสามารถแรงขึ้นได้อีกนิด เมื่อลูกค้าเลือกที่จะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเครื่องสูตรพิเศษที่ทางค่ายพัฒนาร่วมกับ Shell เพื่อใช้ในการแข่งขันโดยเฉพาะ ซึ่งมันมีคุณสมบัติเด่นคือ สามารถลดแรงเสียดทานของเครื่องยนต์ลงได้อีกถึง 10% และช่วยเพิ่มแรงม้าสูงสุดของเครื่องยนต์ได้อีก 3.5 PS และทำให้ตัวเลขกำลังสูงสุดรวมสุทธิขยับขึ้นไปเป็น 240.5 PS ที่ 15,500 รอบ/นาที แล้วยังช่วยเพิ่มแรงม้าตอนรอบเครื่องยนต์สูงสุด (ที่ 16,500 รอบ/นาที) ได้อีก 4.5 PS เลยทีเดียว

การปรับปรุงในด้านชิ้นส่วนโครงสร้างหลัก ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในขณะที่ชุดอลูมิเนียมฟรอนท์เฟรมของมัน จะได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้มากขึ้น โดยที่ยังคงมีฟังก์ชันในการปรับความสูงจุดยึดแกนสวิงอาร์มที่เป็นแบบอลูมิเนียมแขนเดี่ยวให้เช่นเดิม

ตัวโช้กหน้าหัวกลับขนาดแกน 43 มิลลิเมตร ของมัน ที่แม้จะยังคงเป็นของ Ohlins รหัส NIX25/30 และยังคงต้องปรับเซ็ททุกค่าด้วยมือเท่านั้นของมัน ก็ถูกปรับค่าสปริงใหม่ ให้มีความนุ่มมากขึ้น เพื่อให้รับกับช่วงยุบที่มากกว่าเดิมอีก 5 มิลลิเมตร ซึ่งช่วยให้รถสามารถสร้างแรงกดไปลงไปยังล้อหน้าได้มากกว่าเดิม ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการเข้าโค้ง ทำให้ผู้ขี่สามารถเบรกลึกๆได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ตัวโช้กหลัง ที่ก็ยังคงเป็นแบบโช้กแก้สต้นเดี่ยว Ohlins TTX 36 ปรับเซ็ทได้ทุกค่าด้วยมือตัวเดิมเอง ก็ถูกปรับสเป็คสปริงใหม่ ให้นุ่มขึ้นเช่นกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างแรงยึดเกาะบนล้อหลัง ช่วยให้การออกจากโค้งเป็นไปอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ความยาวโช้กเอง ยังเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 4 มิลลิเมตร (จาก 312 มิลลิเมตร เป็น 316 มิลลิเมตร) เมื่อประกอบกับการปรับตำแหน่งแกนสวิงอาร์มใหม่ ให้สูงขึ้น จึงทำให้จุดศูนย์ถ่วงรถสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ช่วยให้ผลของการเปลี่ยนค่าสปริงโช้กหน้า-หลัง ที่นุ่มขึ้น ไม่รบกวนความฉับไวในการพลิกเลี้ยวรถมากจนเกินไป

ด้านระบบเบรกที่ให้มา ก็ยังคงเป็นแบบดิสก์เบรกคู่ขนาดใหญ่ถึง 330 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊ม Brembo Stylema แบบเรเดียลเมาท์ 4 พอท ทางด้านหน้า ส่วนระบบเบรกด้านหลัง ก็ยังคงเป็นแบบดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มแอกเซียลเมาท์ 2 พอท โดยมีระบบ Bosch Cornering ABS EVO กับ Engine Brake Control EVO 2 ที่ถูกปรับปรุงใหม่ ให้ผู้ใช้สามารถเลือกความหน่วงของเอนจิ้นเบรก ที่เหมาะสมแบบเกียร์ต่อเกียร์ได้ มาคอยทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มความมั่นคงในตอนเบรกหนักๆของตัวรถให้ดียิ่งขึ้น

ชุดล้อก็ยังคงเป็นแบบอลูมิเนียมฟอร์จ รัดด้วยยาง Pirelli Diablo Supercorsa SP ขนาด 120/70-17 ทางด้านหน้า และ 200/60-17 ทางด้านหลัง เช่นเคย

แน่นอน อีกสิ่งที่ต้องถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเช่นกันใน Panigale V4 R รุ่นใหม่ก็คือเรื่องของระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ในคราวนี้ ทาง Ducati ได้เพิ่ม Power Mode ใหม่เข้ามา นั่นคือ Full กับ Low โดยมีสองโหมดเดิมอย่าง High กับ Medium เป็นตัวคั่นกลาง

ซึ่งในโหมด Full นั้น จะเป็นโหมดจัดการพละกำลังที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยมีตัวกรอง(หรี่)คันเร่งมาช่วยแค่เฉพาะเกียร์ 1 เท่านั้น นั่นจึงทำให้ทาง Ducati ค่อนข้างย้ำว่าหากลูกค้าได้ทำการปลดประสิทธิภาพเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ (เค้นเต็ม 240.5 แรงม้า) แล้ว โหมดพละกำลังนี้ ควรเป็นโหมดที่ถูกใช้ในสนามแข่งพร้อมกับรถที่ใส่ยางสลิกเท่านั้น

ส่วนโหมด High กับ Medium แม้จะไม่มีการตอนกำลังเครื่องยนต์ แต่ระบบก็จะยังคงทำการหรี่คันเร่งในช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำๆเอาไว้อยู่บ้าง (โดยเฉพาะในช่วงเกียร์ 1-3) เพื่อไม่ให้รถมีอาการพุ่งมากจนผู้ขี่คุมไม่อยู่ หรือรถเกิดเสียอาการได้ง่ายๆ

ขณะที่ในโหมด Low นั้น นอกจากการหรี่คันเร่งในทุกเกียร์ เพื่อความนุ่มนวลในการใช้งานสำหรับชีวิตประจำวัน หรือบนถนนหนทางที่เปียกลื่นแล้ว กำลังเครื่องยนต์ ยังจะถูกตอนลงจนเหลือเพียง 160 PS อีกด้วย หรือหากลูกค้าอยากจะเอารถที่ซื้อ ไปใช้งานในสนามแข่งล้วนๆจริงๆ ก็สามารถลบค่าการทำงานในโหมดนี้ทิ้ง แล้วเปลี่ยนเป็น Rain Mode ที่ออกแบบมาให้ควบคุมคันเร่งและกำลังเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสมในแทร็คเปียกมากขึ้นก็ได้

และนอกจากหน้าจอแสดงผล ที่ถูกปรับเพิ่มอินเตอร์เฟซใหม่ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในสนามแข่งมากขึ้น (เน้นการแสดงค่าสถานะต่างๆของตัวรถ ที่ผู้ขี่จำเป็นต้องรู้ในสนามเท่านั้น) ระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับช่วยเหลือผู้ขี่อื่นๆเอง ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ แทบทั้งหมดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Ducati Traction Control EVO 3, Ducati Wheelie Control EVO, Ducati Slide Control, และ Ducati Power Launch

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบ Ducati Quick Shift EVO 2 ที่เปลี่ยนวิธีตัดการจุดระเบิดเครืองยนต์ ในจังหวะเตะเกียร์ขึ้นใหม่ เป็นการหรี่การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงลงเล็กน้อยให้การจุดระเบิดเบาลงพอที่จะต่อเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์เท่านั้น เพื่อความต่อเนื่องในการไต่ความเร็วที่ลื่นไหลกว่าเดิม

ส่วนการปรับปรุงสุดท้ายที่เราจะไล่เรียงถึงของ Ducati Panigale V4 R รุ่นล่าสุด ก็คืองานดีไซน์เปลือกนอก ที่ในคราวนี้ ได้ถูกปรับใหม่ให้เหมือนกับ Ducati Panigale V4 S รุ่นปี 2022 ซึ่งมีจุดเด่นทั้ง การเพิ่มช่องรีดอากาศทางด้านล่าง เพื่อการระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์ที่ดีกว่าเดิม

วิงเล็ทด้านข้าง ที่เล็กลง 40% บางลง 50% แต่ยังคงสามารถสร้างแรงกดในช่วงความเร็วสูงๆได้ดีไม่แพ้วิงเล็ทขนาดใหญ่ชิ้นเดิม ที่เพิ่มเติมคือวิงเล็ทของเจ้า V4 R นั้น จะเป็นงานคาร์บอนตั้งแต่ออกโรงงาน ไม่ใช่ชิ้นงานพลาสติก

และท้ายสุดคือ การปรับองศาแฮนด์บาร์ใหม่ เพื่อการควบคุมคันเร่ง การเบรก และทิ้งโค้ง ที่กระชับ คล่องตัวยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับรูปทรงเบาะนั่งใหม่ ที่แบนกว่าเดิม เพื่อการแต่งท่าทางตั้งแต่ก่อนไปจนถึงตอนออกโค้งที่เป็นสะดวกสบายยิ่งขึ้น และถังน้ำมันทรงใหม่ ที่รับกับแนวแขนตอนโหนรถในโค้งมากกว่าเดิม แล้วยังเพิ่มความจุขึ้นอีก 1 ลิตร เป็น 17 ลิตรก็ด้วย

โดยการวางจำหน่าย Ducati Panigale V4 R รุ่นปี 2023 ในคราวนี้ จะถือเป็นครั้งแรก ที่ทาง Ducati ได้ทำการเพิ่มลวดลายให้กับตัวรถมากกว่าการใส่ลายเส้นที่ชิลด์หน้า และยังมีการเลเซอร์ลำดับการผลิตบนแผงคอให้อีกเป็นครั้งแรก เพื่อบ่งบอกความพิเศษของตัวรถ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นรุ่นที่จะถูกผลิตด้วยจำนวนจำกัดก็ตาม

ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นมันก็จะถูกเปิดตัวเลขเอาไว้ที่ 43,900 ยูโร หรือราวๆ 1.6 ล้านบาท สำหรับการวางจำหน่ายในทวีปยุโรป

ข้อมูลจาก Ducati

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่