Ducati Hypermotard ถือเป็นอีกหนึ่งตระกูลสร้างชื่อให้กับทางค่ายแดงอิตาลี และล่าสุดตอนนี้ น้องเล็กสุดของตระกูลรหัส “698 Mono” ที่หลายคนรอคอยก็ได้มาถึงประเทศไทยของเราแล้ว พร้อมกับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเริ่มต้นที่ 449,000 บาท

Ducati Hypermotar 698 Mono มาพร้อมกับจุดเด่นมากมายที่เชื่อว่าทำให้เหล่าสาวกหลายคนไม่อาจมองข้าม

เริ่มจากงานดีไซน์ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นรถมอเตอร์ไซค์ตระกูล “Hypermotard” ทั้งจากไฟหน้า LED ทรง C-Lamp ซึ่งยกแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่ Hypermotard 937, บันโคลนหน้ายกสูงตามฉบับรถซุปเปอร์โมโต, ชิ้นแฟริ่งข้างบางเฉียบ รับกับช่วงเข่า

และเพื่อความอิสระในการปรับตำแหน่งและระยะท่านั่ง เบาะนั่งของมันจึงเป็นแบบอานยาวตั้งแต่บริเวณฝาถังน้ำมัน ไปจนถึงแนวปลายท่อไอเสีย, แฮนด์กว้าง 804 มิลลิเมตร เพื่อการควบคุมรถอย่างคล่องตัว พร้อมการ์ดแฮนด์ติดตั้งออกมาจากโรงงาน, ท้ายแหลม ขนาบข้างด้วยท่อไอเสียออกคู่ซ้ายขวาอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตระกูล

ที่น่าสนใจไม่แพ้หน้าตา คือความใส่ใจในการ “ไล่เบา” ของตัวรถ ที่ทาง Ducati ใส่เต็มกว่าใครในคลาส ทั้ง ชุดเฟรมโครงเหล็กถัก ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 7.2 กิโลกรัม, ชุดสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ท่อนตรง ซึ่งออกแบบมาเพื่อการรับแรงกระแทกเป็นอย่างดี แต่มีน้ำหนักเบาเพียง 3.9 กิโลกรัม, ชุดล้ออัลลอยด์ Y Spoke ที่ช่วยลดน้ำหนักลงจากล้อซี่ลวดแบบดั้งเดิมกว่า 0.5 กิโลกรัม/ชุด, ตัวแบตเตอรี่ที่ให้มาจากโรงงานก็เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมน้ำหนักเบา, แม้กระทั่งฐานจานเบรกเองก็ยังใช้วัสดุอลูมิเนียม เพื่อไล่น้ำหนักลงอีก 17% จากการใช้ฐานเหล็กแบบดั้งเดิม

จากการไล่เบาในส่วนที่ไล่เรียงมา และอื่นๆที่ทาง Ducati ยังไม่ได้เปิดเผย ส่งผลให้ตัวรถซุปเปอร์โมโตคันนี้ มีน้ำหนักตัวรถที่เบาเพียง 151 กิโลกรัม เท่านั้น เมื่อยังไม่เติมน้ำมันเชื้อเพลิง แต่หากมีการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงลงไป 90% ของความจุถังขนาด 12 ลิตร น้ำหนักตัวรถก็จะเขยิบขึ้นมาอยู่ที่ราวๆ 159.5 กิโลกรัมเท่านั้น โดยมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักตามฉบับ “สายยก” ที่ 48.5 : 51.5

ด้านไฮไลท์สำคัญอย่างขุมกำลังของตัวรถ ก็โดดเด่นด้วยความเป็น เครื่องยนต์สูบเดียว ลูกโต ขนาดใหญ่ถึง 116 มิลลิเมตร คูณช่วงชักอีก 62.4 มิลลิเมตร ส่งผลให้มันมีความจุสุทธิที่ 659cc ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ขนาดลูกสูบอันใหญ่โตที่ว่านี้ รวมถึงรูปแบบของตัวลูกสูบเอง ก็ถูกยกเทคโนโลยีมาจากเครื่องยนต์ Superquadro ที่เคยอยู่ใน Ducati 1299 Panigale ซุปเปอร์ไบค์ตัวแรงของทางค่ายมาก่อนแล้ว

แน่นอน ไม่ใช่แค่ขนาด กับรูปแบบของลูกสูบ แต่ฝาสูบเอง ก็ยังถูกใส่ระบบควบคุมวาล์วไอดีขนาดใหญ่ถึง 46.8 มิลลิเมตร และ วาล์วไอเสียขนาด 38.2 มิลลิเมตร อย่างละ 2 ตัว รวมเป็น 4 ตัว อย่างเทคโนโลยีกลไก Desmodromic อันเลื่องชื่อของ Ducati พร้อมกระเดื่องกดวาล์วเคลือบสาร DLC ซึ่งทางค่ายระบุว่ามันจะมีรอบในการเซอร์วิสต์แต่ละครั้งที่ 30,000 กิโลเมตร

และด้วยความเป็นเครื่องยนต์สูบเดียว ลูกโต ทาง Ducati จึงไม่ลืมที่จะใส่ชุดเพลาบาลานเซอร์ เพื่อคุมไม่ให้เครื่องยนต์มีอาการสะท้านมากเกินไป มาถึง 2 ชุดด้วยกัน และยังมีการใส่ลิ้นเร่งไฟฟ้าขนาดใหญ่ถึง 62 มิลลิเมตร มาให้อีก 1 ตัว เพื่อการไหลเวียนอากาศขาเข้าที่เต็มอิ่มมากที่สุดอีก

จากผลงานการออกแบบหลักๆทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้ สามารถเค้นรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดที่ 10,250 รอบ/นาที ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรถมอเตอร์ไซค์โปรดักชันไบค์ที่ใช้เครื่องยนต์สูบเดี่ยว และยังสามารถเค้นกำลังได้มากสุดที่ 77.5 PS ที่ 9,750 รอบ/นาที ซึ่งถือว่าแรงสุดในรถมอเตอร์ไซค์โปรดักชันไบค์ที่ใช้เครื่องยนต์สูบเดี่ยวอีกเช่นกัน

ส่วนแรงบิดสูงสุดเอง ก็มีการเคลมตัวเลขเอาไว้ที่ 63 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบ/นาที ซึ่งแรงบิดกว่า 70% ของทั้งหมด มีให้เรียกใช้ได้ตั้งแต่ 3,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดกว่า 80% ให้เรียกใช้งานได้ตลอดช่วง 4,500 รอบ/นาที ไปจนถึงเรดไลน์ ที่ 10,250 รอบ/นาที

โดยหากเท่านั้นยังไม่พอ ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อแพ็คเกจท่อไอเสียฟูลซิสเต็มจาก Termingoni เสริมได้ ซึ่งมันจะทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถทำแรงม้าได้มากขึ้นอีกเป็น 85 PS และมีแรงบิดสูงสุดมากขึ้นอีก เป็น 67 นิวตันเมตร แถมยังทำให้น้ำหนักตัวรถเบาลงอีก 1.5 กิโลกรัม

ด้านระบบส่งกำลังที่ให้มา ก็จะเป็นแบบชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ซึ่งยังมีจุดน่าสนใจเล็กๆน้อยอีกข้อหนึ่ง นั่นคือตัวอัตราทดเกียร์ 1 จะมีความยาวเป็นพิเศษ เพื่อให้การเรียกอัตราเร่งมีความต่อเนื่องโดยไม่ทำให้รถมีความดีดมากเกินไป และที่สำคัญคือกล่อง ECU ยังจะสั่งตัดรอบเครื่องยนต์ไว้ที่ราวๆ 10,000 รอบ/นาที เท่านั้นด้วยในเกียร์แรก เพื่อเป็นการรักษาความทนทานของเครื่องยนต์ และความปลอดภัยของผู้ใช้

นอกนั้นในฝั่งระบบคลัทช์ ก็มีการติดตั้งชุดกลไกลระบบสลิปเปอร์คลัทช์ กันกระชากตอนลดเกียร์หนักๆแบบต่อเนื่องมากให้ ขณะที่ระบบควิกชิฟท์เตอร์แบบ 2 ทางขึ้นลง จะมีให้เฉพาะตัวรถรุ่น RVE เท่านั้น หากซื้อตัวธรรมดา ต้องเสียเงินซื้อแยกเองอีกที

ฝั่งระบบช่วงล่างของตัวรถ ใช้บริการแบรนด์ Marzocchi ในทั้ง 2 รุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของชุดโช้กอัพตะเกียบคู่หน้า ขนาดแกน 45 มิลลิเมตร ปรับเซ็ทได้ทุกค่า ช่วงยุบ 215 มิลลิเมตร และด้านหลัง โช้กแก้สต้นเดี่ยวมีกระปุกซับแทงค์แยก ปรับเซ็ทได้ทุกค่า ช่วงยุบ 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับชุดกลไกกระเดื่องทดแรง และสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่

โดยชุดล้ออัลลอยด์ที่ให้มา จะรัดด้วยยาง Pirelli Rosso IV ขนาด 120/70-17 และ 160/60-17 ตามลำดับหน้า-หลัง และชุดระบบเบรก ก็เป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 330 มิลลิเมตร ทำงานร่วมคาลิปเปอร์เบรกเรเดีลยเมาท์ 4 พอท Brembo M4.32 ทางด้านหน้า และ ดิสก์เบรกเดี่ยว ขนาด 245 มิลลิเมตร ทำงานร่วมคาลิปเปอร์เบรกแบบโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท ทางด้านหลัง

และเนื่องจาก ระบบเบรกที่ให้มาจะทำงานร่วมกับระบบ Cornering-ABS ที่ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่าง Brembo และ Bosch รุ่น 10.3ME ทำให้มันมีฟังก์ชั่นในส่วนของการปรับค่าการทำงานของระบบ ABS ได้ถึง 4 ระดับ โดยจะเน้นไปที่การปรับความไวในการทำงานของระบบ ABS ล้อหลัง เพื่อคุมอัตราการไถล ช่วยให้ผู้ใช้สามารถขี่รถท้ายขวางก่อนเข้าโค้งตามฉบับรถซุปเปอร์โมโตได้มั่นใจยิ่งขึ้น

ด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้มา นอกเหนือจาก ABS ระบบช่วยเหลืออื่นๆที่ให้มาก็มีทั้ง Riding Mode 4 รูปแบบ, Power Mode 3 ระดับ, Ducati Wheelie Control, Ducati Traction Control, Engine Brake Control, และ Ducati Power Launch (launch Control)

โดย Ducati Hypermotard 698 Mono มีให้เลือกสองรุ่น ได้แก่ Hypermotard 698 Mono สี Ducati Red และ Hypermotard 698 Mono RVE ลวดลาย Graffiti จากการพัฒนาทั้งหมดนี้ทำให้ Hypermotard 698 Mono ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับราคาเปิดตัวที่ถือได้ว่ากระแทกตลาดในเมืองไทยเป็นอย่างมาก

  • Hypermotard 698 Mono ราคา 449,000 บาท
  • Hypermotard 698 Mono RVE ราคา 499,000 บาท

พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ 30 คันแรกที่จอง และ รับรถ ฟรีประกันภัยชั้น 1 และ Voucher มูลค่า 20,000 บาท*

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่