Kia AD

Home » 10 สิ่งสำคัญบนรถที่ควรบำรุงรักษา และเปลี่ยนมีอะไรบ้าง?

Kia AD

Suzuki AD

เคล็ดลับเรื่องรถ

10 สิ่งสำคัญบนรถที่ควรบำรุงรักษา และเปลี่ยนมีอะไรบ้าง?

ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์เครื่องสันดาป ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ยังไงก็ต้องได้รับการบำรุงรักษา โดยวันนี้เราจะย้ำเตือน 10 สิ่งสำคัญบนรถ ที่คุณควรตรวจสอบ และเปลี่ยนสม่ำเสมอ

หากเป็นสมัยก่อนรถยนต์มักต้องเปลี่ยนอะไหล่สิ้นเปลืองบ่อยครั้ง เนื่องด้วยเทคโนโลยีในการผลิตรวมถึงวัสดุยังไม่ทนทาน ต่างจากปัจจุบันที่อะไหล่ดังกล่าวมีมาตรฐานในการผลิตสูงขึ้น ส่งผลให้เจ้าของรถบางท่านวางใจจนเผลอลืมตรวจสอบ ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปเตือนความจำกันซักนิด ว่ามี 10 สิ่งสำคัญบนรถที่คุณควรเช็ค และเปลี่ยนมันเมื่อเวลาครบกำหนด

engineoil (2)

1.น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง เปรียบได้กับเลือดที่ไว้ใช้เลี้ยงหัวใจ ซึ่งในที่นี้มันทำหน้าที่หล่อลื่นเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยยังคงความสามารถในการปกป้องชิ้นส่วนภายในไม่ให้เสียหาย แน่นอนว่าน้ำมันเครื่องมีให้เลือกหลากเกรดหลากความหนืด ซึ่งผู้ใช้รถบางคนอาจจำไม่ได้ว่าต้องเปลี่ยนทุกๆ กี่กิโลเมตร ยิ่งคนที่รถพ้นระยะประกันมาแล้วยิ่งลืมกันเลยทีเดียว

วิธีง่ายๆ ในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสมอมีดังนี้ หากรถคุณใช้น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ให้เปลี่ยนทุก 8,000 กม. ไม่ควรลากเกิน 10,000 กม. หรือเปลี่ยนทุก 4 เดือนหากใช้งานไม่ถึงระยะที่ระบุไว้ ส่วนใครใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ก็เปลี่ยนทุก 10,000-15,000 กม. ขึ้นอยู่กับเกรดกับประสิทธิภาพน้ำมันเครื่อง กรณีใช้ไม่ถึงจำไว้ว่าเปลี่ยนทุก 6 เดือน เพียงเท่านี้รถของคุณก็จะได้รับการปกป้องเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ

2.กรองน้ำมันเครื่อง

บางคนเวลาเข้าศูนย์ฯ เช็คระยะก็ให้ช่างเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ทว่าตามความสามารถของอุปกรณ์ชิ้นนี้แล้วมันใช้งานได้ 2 รอบด้วยกัน กล่าวคือเปลี่ยนเมื่อถ่ายน้ำมันเครื่องไปแล้ว 2 ครั้ง ก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากใครเป็นคนต้องการปกป้องรถยนต์สุดรักของคุณให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุด การเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งก็ทำได้ไม่ผิดแต่อย่างใด

 

3.กรองอากาศเครื่องยนต์

โดยปกติแล้วกรองอากาศติดรถยนต์ตามสเป็คผู้ผลิตสามารถใช้งานนานราว 20,000 กม. ส่วนใครที่ขับรถใช้งานต่างจังหวัด จำเป็นต้องนำรถลุยผ่านเส้นทางที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นจากถนน ดูเหมือนว่ากรองอากาศจะรับหน้าที่กรองฝุ่นมิให้เข้าสู่ห้องเผาไหม้หนักกว่ารถที่ใช้ในเมือง ก็ให้เปลี่ยนกรองดังกล่าวในระยะราว 10,000 กม. หรือถ้าสะดวกก็แกะออกมาเคาะฝุ่นออกเสียบ้าง

กรณีที่อยากประหยัดเวลาและเงินในระยะยาว ทางเลือกกรองอากาศแบบล้างทำความสะอาดได้ ซึ่งมีตัวเลือกหลากหลายยี่ห้อในตลาดก็จัดว่าน่าสนใจ เพราะกรองอากาศเหล่านี้สามารถถอดมาล้างมาเป่าได้บ่อยตามที่เจ้าของต้องการ จากนั้นจึงค่อยพ่นน้ำยาเคลือบกรองดักฝุ่น โดยปกติแล้วกรองอากาศชนิดนี้มีราคาต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องและยี่ห้อ

4.กรองอากาศเครื่องปรับอากาศ

ในสภาพอากาศที่ขมุกขมัวไปด้วยฝุ่นละอองมากขนาดนี้ กรองอากาศเครื่องปรับอากาศ หรือเรียกสั้นๆ ว่ากรองแอร์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่คอยช่วยให้คุณภาพอากาศที่ผู้ขับขี่กับผู้โดยสารหายใจ มีความสะอาดเป็นมิตรต่อสุขภาพสูงสุด โดยปกติแล้วกรองแอร์แนะนำให้เปลี่ยนทุกครั้งที่คุณนำรถเข้าไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพราะราคาของกรองชนิดนี้จัดว่าสบายกระเป๋า การเปลี่ยนบ่อยๆ ทำให้อากาศที่คุณหายใจภายในรถสะอาดสดชื่นอยู่เสมอ

5.หัวเทียน

เจ้าหัวเทียนทำหน้าที่สร้างประกรายไฟสำหรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์เบนซิน ใครใช้รถดีเซลอยู่ข้ามข้อนี้ไปได้เลย ส่วนใครเข้าข่ายก็อ่านตามกันให้จบ โดยปกติแล้วหัวเทียนมักมีอายุการใช้งานที่ยาวนานบางคันใช้ได้เกิน 100,000 กม. ถึงเริ่มปรากฏอากาศผิดปกติ ได้แก่ รอบเดินเบาสั่นเนื่องจากจุดระเบิดได้ไม่เต็มที่ หรือขณะเร่งแซงแล้วพุ่งไม่เร็วเหมือนปกติ และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันสูงขึ้นกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม หากเปลี่ยนหัวเทียนชุดใหม่แล้วอาการที่ว่ามายังไม่หาย ก็ให้ลองเช็คคอยล์จุดระเบิดรวมถึงสายปลั๊กหัวเทียนว่าชิ้นส่วนใดผิดปกติ เราเชื่อว่าถ้าตรวจเช็คสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด อาการรถเดินเบาสั่นทั้งตอนจอดและเร่งคงหายไปแน่นอน

6.Air Flow Sensor กับลิ้นปีกผีเสือ

รถยนต์บางคันใช้งานเป็นระยะเวลานานแต่ก็มีการบำรุงรักษาสม่ำเสมอโดยเจ้าของ แต่พอยิ่งขับไปทำไมถึงเร่งไม่ค่อยออก เสียงเครื่องดังครวญครางเวลาเร่ง หากคุณเจอประสบการณ์ที่เรายกตัวอย่างมานี้ แนะนำให้ไปหาอู่ที่สนิทใจหรือเพื่อนคนไหนที่ถนัดเรื่องรถ ลองถอด Air flow sensor มาล้าง รวมถึงล้างลิ้นปีกผีเสื้อไปพร้อมกันเลยก็ดี เพียงเท่านี้รถของคุณก็จะวิ่งเร่งได้ดีเหมือนสมัยถอยออกมาจากโชว์รูมใหม่ๆ

7.น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ

ไม่ว่ารถของคุณจะเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ 4-5-6-8-10 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ CVT การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 50,000 หรือ 100,000 กม. เป็นสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนที่ขับรถกดคันเร่งหนักๆ หรือใช้งานในเมืองเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ให้ถี่ขึ้นมาอยู่ในราว 30,000-45,000 กม. หากเป็นไปได้

8.ผ้าเบรกกับจานเบรก

อุปกรณ์สำคัญไม่แพ้เครื่องยนต์ก็คือระบบห้ามล้อ ซึ่งประกอบไปด้วยผ้าเบรกกับจานเบรก ที่ปกติรถใช้งานในเมืองจะกินผ้าเบรกไวกว่ารถที่วิ่งทางไกลเป็นประจำ โดยปกติแล้วการเปลี่ยนผ้าเบรกนั้นจะทำก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกว่ารถเบรกไม่ค่อยอยู่ หรือมีเสียงดังเหมือนกับเหล็กขูดกันขณะเหยียบเบรก

ทั้งนี้ ในส่วนของจานเบรกนั้นจะต้องเปลี่ยนก็ต่อเมื่อ ความหนาของจานลดลงจนอยู่ในระดับที่หากฝืนใช้ต่ออาจเกิดอันตราย โดยทั่วไปแล้วระยะในการเปลี่ยนจานเบรกจะอยู่ราว 4-5 ปี หรือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของเจ้าของรถผู้ใช้งานเป็นหลัก

9.น้ำมันเบรก

มาถึงส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเบรกที่สำคัญไม่แพ้ผ้าเบรกกับจานเบรก นั่นคือน้ำมันเบรกที่ทำหน้าที่ส่งแรงดันไปยังปั๊มเบรก ซึ่งการใช้งานไปซักระยะหนึ่งน้ำมันเบรกจะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ สีเริ่มคล้ำลง ความสามารถในการระบายความร้อนลดลง ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรตรวจเช็คน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี หรือถ้ามีอาการเบรกไม่อยู่ ไม่เบรกไหล เบรกวืด ก็ลองตรวจสอบสามสิ่งที่ว่ามาในระบบเบรก

tire-repair001

10.ยางรถยนต์

ยางดำๆ เส้นกลมๆ ที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักตัวรถทั้งคัน หากไม่ได้รับการตรวจสอบดูแลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ นั่นก็อาจก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงตามมาได้ วิธีการตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ทำได้ไม่ยาก เพียงดูหน้ายางว่าเหลือดอกยางขนาดไหน จากนั้นดูสภาพเนื้อยางกับแก้มยางว่ามีรอยฉีกขาด หรือชำรุดมากน้อยหรอไม่

ตามปกติแล้วการเปลี่ยนยางไม่จำเป็นว่าจะต้องเปลี่ยนทุก 2 ปี หรือเปลี่ยนทุก 50,000-100,000 กม. แต่ขึ้นอยู่กับสภาพยางกับประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน การเเบรก และเสียงดังขณะวิ่งมากกว่า

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.