Home » “โอนรถ” …เรื่องง่ายไม่ยากแค่อาจจะเสียเวลานิดหน่อย
car-transfer (1)
เคล็ดลับเรื่องรถ

“โอนรถ” …เรื่องง่ายไม่ยากแค่อาจจะเสียเวลานิดหน่อย

 

ถ้าพูดถึงธุรกรรมที่เราทำเกี่ยวกับรถ ผ่านทางกรมการขนส่งทางบก นอกจากการต่อภาษีเป็นประจำแล้ว ก็คงจะมีการ “โอนรถยนต์” นี่แหละที่เราต้องทำธุรกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ของเรา  และวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าการโอนรถยนต์ เขาทำกันอบ่างไร มีขั้นตอนอย่างไร จนคุณเองก็สามารถไปทำได้เช่นกัน

เรื่องการโอนรถด้วยตัวเอง เริ่มจากผมและเดือนไปซื้อรถยนต์คันใหม่ของพวกเรา  Subaru XV Sti 2015 จากทาง  Subaru   ประเทศไทย โดยรถคันนี้เดิมทีเป็นรถทดสอบแบบที่ผมนำมาขับรีวิวบ่อยๆ นี้แหละ แต่ว่าเจ้านี้สภาพดีมากไมล์น้อยมาก ประกอบกับเดือนทำงานต่างจังหวัด และสมควรจะต้องใช้รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ เราจึงตัดสินใจร่วมกันในการซื้อรถคันนี้

เราใช้เวลาเกือบเดือนในการทำธุรกรรมกับ   Subaru   โดยตอนแรกบริษัทจะให้เราเสียค่าใช้จ่ายไปโอนให้เนื่องจากเกรงว่าลูกค้าจะโอนช้า หรือไม่ไป (ซึ่งจริงๆ เราก็โอนช้าไป1 วัน เพราะนับวันเทศกาลสงกรานต์ผิด) แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า ลูกค้าสามารถโอนเองได้ เราจึงเริ่มไปดำเนินโอนรถด้วยตัวเอง จึงถือโอกาสนำเรื่องออกมาบอกเล่าเห้าสิบให้ทุกคนได้ฟังด้วยครับ

เรื่องต้องรู้ก่อน โอนรถ

ก่อนจะโอนรถ จากประสบการณ์ของเรา คุณจำเป็นต้องทำการบ้าน ก่อนไปดำเนินการครับ จะได้ไม่เสียเวลาเสียอารมณ์

1.ทราบสถานที่โอน …

สถานที่โอนรถ เป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากสถานที่โอนรถจะแตกต่างกันออกไปตามที่อยู่ของเจ้าของรถ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือ นิติบุคคล ทางสำนักงานขนส่งทางบก จะยึดเอาที่อยู่เจ้าของเป็นสถานที่สำคัญในการทำธุรกรรมรถยนต์

โดยในกรุงเทพมหานคร มีสำนักงานกรมขนส่งทั้งสิ้น 5 สาขา หรือ 5 พื้นที่รับผิดชอบ โดยแบ่งตามเขตรับผิดชอบดังนี้

  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 (บางขุนเทียน) รับผิดชอบพื้นที่  บางขุนเทียน เขตจอมทอง เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตราษฎร์บูรณะ เขตยานนาวา เขตสาทร เขตบางคอแหลม เขตทุ่งครุ และเขตบางบอน
  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่  2  (สวนผัก-ตลิ่งชัน) รับผิดชอบพื้นที่  ตลิ่งชัน บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ หนองแขม พระนคร บางแค และทวีวัฒนา
  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่  3 (พระโขนง) รับผิดชอบพื้นที่  เขตพระโขนง  คลองเตย บางนา ประเวศ สวนหลวง และ เขตวัฒนา
  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่  4 (หนองจอก-สุวินทวงศ์) รับผิดชอบพื้นที่   เขตมีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง บึงกุ่ม สะพานสูง คันนายาว และคลองสามวา
  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่  5 (หนองจอก-สุวินทวงศ์) รับผิดชอบพื้นที่   ป้อมปราบศัตรูพ่าย ปทุมวัน ดุสิต บางซื่อ บางเขน ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว สายไหม สัมพันธวงศ์ บางรัก พญาไท ห้วยขวาง บางกะปิ ดอนเมือง ราชเทวี หลักสี่ และวังทองหลวง

ส่วนในเขตต่างจังหวัด โดยส่วนใหญ่จะจบที่เดียว คือสำนักงานขนส่งประจำจังหวัด เว้นแต่ว่าจังหวัดนั้นจะมีหลายพื้นที่ก็ลงอไปสอบถามกันดูว่าตามทะเบียนบ้านเจ้าของรถคนเดิม จะต้องไปโอนที่ไหนครับ

อย่างกรณีของผมเอง ทีแรกน้องพนักงานขายบอกว่าไปโอนที่จตุจักร แต่เมื่อไปถึงแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ขนส่งที่จตุจักรบอกว่า ต้องไปโอนที่หนองจอก .. ถ้ารู้สถานที่โอนก่อนก็คงจะไม่เสียเวลา เสียน้ำมัน … เรื่องนี้คุณต้องตรวจสอบกับเจ้าของรถเดิม หรือ คนที่คุณจะรับโอนว่าอยู่ในพื้นที่ใด โดยดูจากบัตรประชาชน หรือ สถานที่ตั้งกิจการ ถ้าคุณซื้อรถจากบรรดาบริษัทต่างๆ

2.แนวทางการโอน

เมื่อรู้ว่าจะต้องไปโอนที่ไหนแล้ว ก็ได้มาสำรวจธุรกรรมของตัวเองว่าเป็นแบบไหนกัน “การโอนรถ” อาจจะฟังดูกลางๆ แต่แนวทางการโอนรถมีหลายแบบ ได้แก่

  • โอนเพื่อซื้อหรือขาย
  • โอนในกรณีได้รับมรดก
  • โอนกรรมสิทธิ์ทั่วไป
  • โอนกรรมสิทธิ์จากสัญญาเช่าซื้อ

โดยในการโอนกรณีได้รับมรดก ยังแบ่งเป็น การโอนในกรณีไม่มีพินัยกรรม ไม่มีคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก และ การโอนโดยมีผู้จัดการมรดก ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันเล็กน้อย (ในกรณีมีผู้จัการมรดกจะต้องเตรียมเอกสารและการรับมอบอำนาจมาด้วยครับ ทางที่ดีสอบถามกับการขนส่งผ่านสายด่วนดีกว่า)

3.เตรียมเอกสารให้ถูกต้อง   ทราบความประสงค์ตัวเองในการโอนรถแล้ว ก็ถึงเรื่องสำคัญคือการเตรียมเอกสารให้ครบตามที่ทางกรมการขนส่งต้องการ จะได้ไม่ไปเสียเวลาเสียอารมณ์ครับ

การโอนกรรมสิทธิ์รถ เตรียมเอกสารดังนี้

  1. สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ (เล่มฟ้า) (กรณีรถยังติดไฟแนนซ์ต้องแจ้งไฟแนนซ์และมีค่ายืมเล่มด้วย)
  2. สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับโอน (ของคุณเอง) และผู้โอน (ของคนที่คุณทำธุรกรรมด้วย)
    • กรณีนิติบุคคล ใช้สำเนาการจดทะเบียนจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล และ สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการบริษัทผู้มีอำนาจลงนามทั้งหมด
  3. สัญญา ซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
  4. ใบคำขอโอน และใบรับโอน โดยทางผู้รับโอนและผู้โอน ลงนามในคำขอเรียบร้อย พร้อมพยานรับทราบการทำธุรกรรมดังกล่าว 2 คน (พยานไม่ต้องแนบสำเนาบัตรประชาชน)

ในกรณีเป็นการโอนรถ โดยการรับมรดก ให้เพิ่มเอกสาร ดังนี้เข้าไปจากข้างต้น

  1. สำเนาหรือภาพถ่ายใบมรณะบัตรของเจ้าของมรดก (เจ้าของรถเดิม-ผู้วายชน)
  2. สำเนาคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก (กรณีมีผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาล)
  3. สำเนาบัตรประชาชนของผู้จัดการมรดก (กรณีมีผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาล)
  4. เอกสารรับมอบอำนาจจากผู้จัดการมรดก

ขั้นตอนการโอนรถ …

เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยก็ได้เวลาไปโอนรถเป็นของคุณแล้วครับ โดยวันไปโอนหากคุณหรือผู้โอนคนใดคนหนึ่งไม่สามารถไปได้ จำเป็นต้องเตรียมหลักฐานเพิ่มเติม คือ หนังสือมอบอำนาจ (ต้องแนบพร้อมสำเนาบัตรประชาชน) ให้ผู้รับมอบอำนาจไปดำเนินการ

อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าการโอนจะไปสำนักงานขนส่งพื้นที่ไหน ให้ดูจากตัวผู้ที่ทำธุรกรรมด้วยเป็นหลัก ดูตามเขตรับผิดชอบของสำนักงานพื้นที่ขนส่ง แล้วไปยังสำนักงานนั้น 

 

เมื่อไปถึงให้คุณขึ้นไปติดต่อส่วนงานตรวจสภาพรถยนต์ โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า มาตรวจสภาพเพื่อโอนรถ จากนั้นผ่านขั้นตอนการตรวจสภาพตามปกติ จากนั้นรอเอกสารจากเจ้าหน้าที่ เพื่อไปดำเนินการต่อไป (กรณีโอนเนื่องจากผ่อนชำระหมด ไม่ต้องตรวจสภาพรถ)

ตรวจสภาพรถ เพื่อทำเรื่องโอน (บางแห่งอาจจะต้องยื่นเอกสารก่อน)

หลังรับเอกสารเรียบร้อย ให้ไปติดต่อส่วนงานทะเบียนรถยนต์ เพื่อทำเรื่องทางด้านเอกสารโอน เมื่อขึ้นไป โดยมากทางสำนักงานขนส่งจะมีเจ้าหน้าที่กลั่นกรองตรวจสอบเอกสารอยู่แล้ว  หากเอกสารผ่าน เจ้าหน้าที่จะส่งคุณไปรอคิว ทำเรื่อง ในบางสำนักงานขนส่งอาจจะใช้เวลาในการรอนานถึงนานมาก เนื่องจากกคนเยอะ แต่อย่างที่ผมไปสำนักงานจนส่งพื้นที่ 4 หนองจอก ถือว่าไม่นานนัก  

ขั้นตอนการตรวจเอกสารการโอน

รอคิวทำเรื่องโอน

เมื่อได้คิวเจ้าหน้าที่จะเรียกคุณเข้าตรวจสอบเอกสาร และหลักฐานการโอนอีกครั้ง หากเรียบร้อยเจ้าหน้าที่จะทำการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้  เป็นอันจบเรียบร้อยการดำเนินการ กลับบ้านได้

 

ข้อควรรู้หลังลองไปโอนรถ

ผมกับเดือนออกมาพร้อมความเป็นเจ้าของน้องส้ม   Subaru  XV Sti  สมาชิกใหม่ในบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ โดยในระหว่างขั้นตอนการโอน เราพบว่า มีบางอย่างที่เราไม่รู้ และคุณจะได้เตรียมตัวไปก่อน

การโอนรถอาจจะไม่ใช่ธุรกรรมที่เราทำกันบ่อย บางคนไม่เคยไปทำเองกับกรมการขนส่ง แต่ถ้าไปทำ คุณจะมีค่าธรรมเนียมดังนี้

ค่าคำขอ5 บาท
ค่าอากรแสตมป์10 บาท
ค่าโอนรถ100 บาท

 

โดยนอกจากค่าใช้จ่าย 2 รายการที่โดนแน่นอนแล้ว กรณีโอนรถจากการซื้อขาย หากมีใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินครบถ้วน จากผู้ขายครบถ้วนถูกต้อง จะไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน จากการประเมินของกรมการขนส่ง โดยเสียร้อยละ 0.5 ของราคาประเมิน หรือที่บางคนเรียกว่าแสนละ 500 บาท 
ยกตัวอย่างเช่น รถคุณ ทางเจ้าหน้าที่ประเมินว่า มีราคา 4 แสนบาท คุณจะเสียค่าภาษีส่วนนี้เป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท

และในกรณีที่คุณไม่โอนรถภายใน 15 วันนับตั้งแต่การดำเนินการเตรียมเอกสารโอน คุณจะต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติม อย่างผมเกินมา 1 วัน เนื่องจากต้องให้เดือนมาเป็นคนดำเนินการ โดนค่าปรับไป 200 บาท แต่ตามข้อมูลจากเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกระบุว่า ค่าปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท

การโอนรถ จะว่าไปก็ไม่ยากอย่างที่คิดและหลายคนกลัว แต่มันอาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อเมื่อเทียบว่าคุณต้องเสียเวลาทั้งวันไปทำธุรกรรม และอาจจะน่าหงุดหงิด เมื่อเจอคนเยอะแยะมากมาย จนเสียอารมณ์ …บางทีมอบอำนาจคนที่คุณไว้ใจไปทำธุรกรรมแทนก็ได้ครับ

 

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา   ridebuster.com 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*