ในสภาวะการจราจรติดๆขัดๆ เรามักเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็คงไปโทษคนที่ขับรถเร็วว่าเป็นตัวแปรให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น แต่จากงานวิจัยล่าสุด กลับระบุว่าคนขับรถช้าต่างๆหากที่มีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่า

จากข้อมูลโดยงานศึกษาที่เก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปีช่วงปลายปี 1950’s โดยวิศวกรโยธานามว่า David Solomon และอีกงานวิจัยเมื่อต้นปี 1960’s ของ James West และ Robert Dunn ที่กลับมาศึกษาข้อมูลของ Solomon อีกครั้ง
ระบุว่าจากการศึกษาข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกว่า 10,000 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากทั้งคนที่ขับรถช้าและเร็วกว่าความเร็วของผู้คนส่วนใหญ่บนท้องถนนในเวลานั้น
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าผิดคาดอะไร เพราะหากคุณขับรถตามสภาพการจราจรไปเรื่อยๆ โอกาสที่รถของคุณจะขยับไปชนรถคันข้างหน้า หรือโดนคันข้างหลังพุ่งมาชนท้าย เพราะต้องเบรกกระทันหัน หรือเหตุใดๆก็ตามย่อมเกิดขึ้นได้อยากอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจก็คือ แทนที่ผู้ขับรถเร็วกว่าสภาพการจราจรในภาพรวม จะมีสัดส่วนความเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งมากกว่า
ผลวิจัยกลับบอกว่าผู้ที่ขับรถช้าต่างหาก ที่มีโอกาสมากกว่าในการเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งบนท้องถนนท่ามกลางสภาวะการจราจรที่ติดขัด
สาเหตุที่ว่าทำไม รถที่ขับช้ากว่าการจราจร ถึงมักเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง มากกว่ารถที่ขับเร็วกว่าการจราจร ข้อมูลในงานวิจัยก็อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า
ประเด็นแรกสุดก็คือเรื่องของส่วนต่างความเร็ว โดยในกรณีที่หากมีรถขับช้ากว่าสภาพการจราจร รถคันนั้นๆก็มักเป็นสาเหตุที่ทำให้รถคันอื่นๆบนถนนต้องขับช้าลงตาม ซึ่งในจังหวะแรกๆ รถคันด้านหลังอาจจะมีแค่การชะลอคันเร่งลง แต่คันถัดๆไป ก็อาจจะต้องเบรกเพิ่มขึ้น จนรถบางคันในช่วงท้ายๆแถว อาจจะต้องเบรกกระทันหัน และก่อให้เกิดการชนท้ายกันในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ การที่รถข้างหน้าขับช้ากว่าสภาพการจราจรย่อมมีความเป็นไปได้ที่ผู้ขับรถด้านหลัง จะหาทางเปลี่ยนเลน หรือแซง เพื่อไปอยู่ในช่องทางการจราจรที่คล่องตัวกว่า ซึ่งก็จะทำให้เกิดการจุดตัดระหว่างทิซทางการจราจร และทำให้เสี่ยงที่จะเกิดเหตุการพุ่งชนกันระหว่างรถที่เบี่ยงออกจากเลนไป กับรถที่อยู่ในอีกเลนหนึ่งเช่นกัน
ประการที่สอง จะว่าด้วยเรื่องลึกกว่านั้น แต่ก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีอุบัติเหตุคล้ายๆกัน นั่นคือ จากงานศึกษา พบว่าผู้ที่ขับรถช้าส่วนมาก มักมีพฤติกรรมการขับขี่ที่คาดเดาไม่ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น (โดยอาจเป็นเพราะผู้ขับกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มนักขับมือใหม่ หรือไม่ก็สูงวัย ที่อาจจะมีการขับแบบป้ำๆเป๋อๆ หรือลังเลบนท้องถนน)
ผลที่ตามมาก็คือ มีโอกาสที่ผู้ขับรถตามหลัง อาจจะต้องเบรกกระทันหัน หรือหาจังหวะเปลี่ยนเลน ซึ่งก็จะทำให้เกิดพฤติกรรมลูกโซ่ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีอุบัติเหตุตามมาด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ด้วยความที่ผู้ขับรถช้า มักถูกแซงบ่อยครั้ง ทำให้พวกเขาอาจจะต้องระวังการถูกปาดแซงมากขึ้นจากรถรอบๆตัว และทำให้พวกเขาเองก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเช่นกันอีก โดยเฉพาะบนถนนไฮเวย์ที่ตามปกติแล้วต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง การที่ผู้ใช้งานรถขับด้วยความเร็วที่ต่ำมากเกินไป ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงถูกชนท้ายมากขึ้นตาม แม้ว่าคันที่ชนท้าย อาจจะขับมาด้วยความเร็วตามกฏหมายกำหนด หรือเร็วกว่ากฏหมายกำหนด (เพื่อเร่งแซง) ก็ตาม
อย่างไรก็ดี การขับเร็วกว่าการจราจรบนท้องถนนเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ยากกว่าผู้ที่ขับรถช้ากว่ามากนักเช่นกัน เพราะแม้ผู้ที่ขับรถเร็วจะมีโอกาสถูกชนท้ายน้อย จนแทบไม่มีเลย แต่หลายครั้งพวกเขาก็อาจตัดสินใจพลาด กะระยะในการเปลี่ยนเลน หรือการเบรกผิด จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด เพื่อให้การจราจรในสภาวะรถติดๆมีความปลอดภัย จากบทสรุปของงานศึกษานี้ จึงเป็นการที่เราควรจะต้องพยายามรักษาความเร็ว ระยะห่างระหว่างรถ ให้สัมพันธ์กับสภาพการจราจรให้ใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อลดโอกาสที่เราจะไปชนตูดชาวบ้าน หรือโดนคนข้างหลังมาชนท้ายโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
ที่มา Driving Slower is Actually More Dangerous Than Driving Fast – Seasia.co