หลังประกาศราคา BMW XM 50e เริ่ม 6.799 ล้านบาท ทำให้ BMW XM มีทางเลือกหลากหลายขึ้นเท่านั้นยังไม่พอเตรียมนำเข้ารุ่นพิเศษมาขายกับ BMW XM Label Red

โดยทั่วโลกมีเพียง 500 คัน สำหรับรุ่นเรือธงรุ่นนี้รวบรวมเอาที่สุดแห่งขุมพลัง ความพิเศษ และความหรูหรามอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและทรงพลังแบบไม่เหมือนใคร โดดเด่นคือสีตัวถังภายนอกสีดำ BMW Individual Frozen Carbon Black Metallic กระจังหน้าทรงไตคู่ตามแบบฉบับ BMW M พร้อมขอบสองชั้นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ด้านหน้ามาในรูปทรงแนวนอนอันโดดเด่น ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงขอบด้านนอกของกระจังหน้าทรงไตคู่แต่ละข้างยังตกแต่งด้วยสีแดง Toronto Red metallic รวมถึงขอบกระจกลากยาวไปบนที่เปิดประตู ลิ้นสปอยเลอร์ใต้กันชนหลังตกแต่งด้วยสีแดง ในขณะที่ขอบด้านในมากับไฟรูปทรงโค้งมนเป็นวงแหวนไฟที่ให้แสงอย่างคมชัดและต่อเนื่อง แถบเน้นสีมันวาวตัดกับพื้นผิวสีแบบด้านซึ่งส่องแสงระยิบระยับทำให้ภายนอก มีลักษณะที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษล้อขนาดใหญ่ 21 นิ้ว สีดำ Black High Gloss พร้อมสีดำทั้งคันแบบ BMW Individual Frozen Carbon Black

โดดเด่นยิ่งขึ้นกับกระจกหลัง ไฟท้ายทรงเรียว LED สีดำเงา มีช่องระบายอากาศติดมาด้วยในชุดกันชนหลังใส่ลิ้นสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ฝังท่อไอเสียแนวตั้ง 4 ท่อ สองฝั่งกรอบสีทองสองฝั่ง ตราโลโก้ BMW ฝังไว้ที่กระจกรถนับเป็นครั้งแรกของค่ายที่ติดตราโลโก้ในลักษณะนี้ ส่วนตำแหน่งเดิมตราโลโก้ฟ้าขาวกลายเป็นที่ติดโลโก้ XM ขอบสีแดง

ภายในมาแบบโทนสีดำและแดงยังนำรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและกลิ่นอายแบบสปอร์ตมาสู่ห้องโดยสาร ตราสัญลักษณ์ “XM” สีแดงสุดโดดเด่นบริเวณใต้หน้าจอ Control display ควบคู่ไปกับแถบตกแต่งภายในคาร์บอนไฟเบอร์แบบซาติน ประดับด้วยด้ายเน้นสีแดงและสีน้ำเงิน เสริมมาดให้รถยนต์คันนี้เป็นรถตามแบบฉบับ M อย่างแท้จริง พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M มีส่วนประกอบตกแต่งในสีดำโครเมียม พร้อมด้วยปุ่ม M และแป้นเปลี่ยนเกียร์คาร์บอนซึ่งมีสัญลักษณ์บวกและลบเป็นสีแดง พร้อมทั้งคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ จากตราสัญลักษณ์ที่ระบุโหมดการขับขี่แบบ Boost Mode บนแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้าย ส่วนห้องโดยสารด้านท้ายแบบ M Lounge สุดพิเศษ ยังมอบความรู้สึกที่กว้างขวางให้กับผู้โดยสาร พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่หรูหรา

ผ้าบุหลังคายังเป็นเสมือนงานประติมากรรม 3 มิติ ลวดลายแบบปริซึมและเมื่อเปิดหลังคาก็จะพบกับหลอดไฟ LED กว่า 100 ดวงบนหลังคาที่ส่องสว่างอย่างงดงามยามค่ำคืน คอนโซลด้านบนยังบุด้วยหนังแบบ BMW Individual ทำให้การตกแต่งภายในสะดุดตาและหรูหราไปอีกขั้น นอกจากนี้ ยังมีชุดไฟตกแต่งภายใน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน ระบบระบายอากาศ ระบบเสียงรอบทิศทางจาก Bowers & Wilkins Diamond surround sound system กำลังขับ 1,475 วัตต์ และลำโพงพิเศษอีกสี่ตัวบริเวณหลังคา ทั้งหมด 15 จุด จอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 8 ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น สารสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาของตนกับรถยนต์แบบไร้สายผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto

ขุมพลังพัฒนาใหม่เพื่อความพิเศษสำหรับคุณกับเบนซินเทอร์โบคู่ V8 M TwinPower Turbo M HYBRID แบบ Plug-In Hybrid รหัส S634.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ BMW eDrive 197 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตรเมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้ามากถึง 748 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตรอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ในเวลา 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไปไกลถึง 290 กิโลเมตรต่อขั่วโมง ถ้าเพิ่มโหมดสมรรถนะ M Driver’s Package คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด M Steptronic

โดยใช้พลังงานจากลิเธียม-ไอออนแบตเตอรี่ขนาด 25.7 kWh ให้ความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในโหมดไฟฟ้าล้วนและวิ่งไกลสุด 75-83 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) รองรับการชาร์จช้า 7.4 kW AC 0 – 100% ภายใน 4.25 ชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกกดปุ่ม M Hybrid ที่คอนโซลกลางเพื่อเข้าโหมดใดโหมดหนึ่งจากทั้งหมด 3 โหมด ทั้ง HYBRID, ELECTRICโหมดการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 100%  และ eCONTROL พร้อมขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ M xDrive และช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional ควบคุมแบบสปอร์ตโดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายของผู้ขับขี่

รุ่นพิเศษจาก BWW ที่จะขายไทยจะได้โควต้ากี่คันจากทั้งหมด 500 โดยจะมีตัวรถจะมีเลขระบุ “1/500” อยู่บริเวณด้านล่างของจอ Control Display เปิดราคาที่ไทยเร็วๆนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: