ในอดีตที่ผ่านมา รถ BMW Series 7 มักมีแค่รุ่นที่ได้รับการตกแต่งแบบ M Package เท่านั้น เป็นหนึ่งในรุ่นย่อย แต่สำหรับ BMW i7 M70 xDrive คันนี้นั้นไม่ใช่ เพราะมันคือรถที่ได้รับการปรับแต่งจนใกล้เคียงกับความเป็นรถ “M” กว่าที่เคยมีมาจริงๆ

แม้จะยังคงโดดเด่นในเรื่องความเป็นลักชัวรีซีดาน แต่ BMW i7 M70 xDrive ก็มาพร้อมกับชื่อชั้นในฐานะ “รถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วและแรงที่สุดของ BMW” ด้วยขุมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า กำลังสูงสุด 259 PS และมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนชุดล้อคู่หลัง กำลังสูงสุด 490 PS

ซึ่งเมื่อพวกมันทำงานด้วยกันแล้ว ก็จะสามารถให้กำลังขับสูงสุดได้ถึง 660 PS และแรงบิดสูงสุดอีกถึง 1,100 นิวตันเมตร เมื่อประกอบกับระบบขับเคลื่อนแบบ xDrive จึงทำให้มันสามารถกดอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.5 วินาทีเท่านั้น แม้ว่ามันจะมีน้ำหนักตัวที่มากถึง 2,689 กิโลกรัมก็ตาม

และความสนุกในเรื่องขุมกำลังของมันยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแม้แรงบิดสูงสุดกว่า 1,100 นิวตันเมตร จะแสดงออกมา แค่เฉพาะในตอนที่ผู้ใช้เปิดโหมด Launch Control และขยี้คันเร่งสุด จากจุดรถหยุดนิ่ง หรือในการขับด้วยโหมด Over-Boost ที่ต้องกดแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ด้านซ้ายไปด้วย เท่านั้น

แต่อย่างน้อยในการขับด้วยโหมด Sport หากคุณไม่ได้ทำอะไรกับรถมากนัก ด้วยแรงบิดก็ที่ถูกลดลงมาเหลือ 1,014 นิวตันเมตร ก็ถือว่าเกินพอแล้วที่จะทำให้ให้ผู้โดยสารในรถรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงดึงหัวติดเบาะทุกครั้งที่ผู้ขับขยี้คันเร่ง แถมยังเพิ่มอรรถรส หรือความอินกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีก ด้วยเสียงท่อจำลอง ที่ถูกปรับปรุงและออกแบบโดยนักแต่งเพลงชื่อดังแห่งวงการภาพยนต์ Hans Zimmer

ด้านชุดแบตเตอรี่ที่ให้มา น่าเสียดายอยู่นิด ตรงที่มันยังคงมีขนาด 101.7 kWh เทียบเท่ากับ i7 xDrive60 ร่างต้น แต่จากการทดสอบโดยทาง BMW พวกเขากล้าเคลมว่ามันสามารถวิ่งได้ไกลสุดต่อชาร์จ ด้วยระยะทาง 472 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน EPA ซึ่งนั่นถือว่าน้อยกว่าร่างต้นเพียงนิดหน่อยเท่านั้น (i7 xDrive60 เคลมระยะทางการวิ่งไกลสุดต่อชาร์จที่ 509 กิโลเมตร ด้วยแบตเตอรี่ขนาดเดียวกัน)

หรือหากใครกังวลว่าตนเองจะคันเท้า สนุกกับอัตราเร่งของเจ้า i7 สุดแรงคันนี้เกินไป จนทำให้ไม่มีไฟเหลือพอที่จะขับรถไปถึงบ้าน หรือจุดชาร์จ

ทาง BMW ก็มีโหมดการขับขี่พิเศษ ที่ชื่อว่า “Max Range” ใส่เข้ามาให้ด้วย ซึ่งมันไม่ได้จะลดอัตราการตอบสนองของคันเร่งเท่านั้น แต่ยังจำกัดความเร็วสูงสุดของรถไว้ที่ไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และปิดระบบการทำงานของลูกเล่นต่างๆที่ไม่จำเป็น(ในจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ว่าจะกลับถึงบบ้านหรือไม่) เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขั้นสูงอย่าง ADAS, ระบบทำอุณหภูมิเบาะนั่งและพวงมาลัย เป็นต้น ทิ้งไป

และหากคุณสามารถพาเจ้ารถคันนี้ไปถึงจุดชาร์จได้ มันก็จะรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ด้วยกำลังไฟสูงสุด 195 kW และใช้เวลาในการชาร์จจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาเพียง 34 นาทีเท่านั้น

และในเมื่อขุมกำลังถูกปรับปรุงและปรับบเปลี่ยนขนานใหญ่ ระบบช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง และโครงสร้างตัวถังจึงได้รับการปรับปรุงด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรงขึ้นฉบับ M โดยเฉพาะในส่วนด้านหน้าตัวรถ และเบ้าโช้กหน้า, ช่วงล่างถุงลมใหม่ พร้อมระบบแปรผันความแข็ง ความหนืด รวมถึงความสูงของตัวรถ เสริมด้วยระบบแปรผันความหนืดพวงมาลัยขั้นสูง Integral Active Steering และระบบป้องกันการโคลงตัวขั้นสูง Active Roll Stabilization

ระบบเบบรก ก็เป็นอีกจุดที่ถูกปรับปรุง ด้วยคาลิปเปอร์เบรกแบบใหม่สีน้ำเงิน ที่ใหญ่โตขึ้น ทั้งด้านหน้า 4 พอท และด้านหลัง 1 พอท ส่วนชุดล้อเอง หากเป็นออพชันติดรถ ก็จะได้ชุดล้อ M ขนาด 21 นิ้ว พร้อมยางสมรรถนะสูงมาเลย แต่ถ้าลูกค้าอยากประหยัด ก็สามารถเปลี่ยนชุดล้อเป็นของ 20 นิ้ว แล้วใช้ยางที่หน้ากว้างน้อยลง แต่นุ่มนวลมากขึ้นได้

ด้านงานออกแบบภายนอก หากว่ากันตามจริง BMW i7 M70 xDrive คันนี้ ก็ได้ถูกตกแต่งด้วยชุดชิ้นส่วนรอบคันที่เกือบจะเหมือนกับคู่แฝดพลังไฮบริด M760e xDrive ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าแบบปิดทึบสีรมดำ, กันชนหน้าที่ดูดุดันกว่า i7 หรือ Series 7 รุ่นปกติ, ลายล้อ, และการทำสีตัวถังแบบทูโทน

โดยจะมีแค่เพียงจุดเดียวเท่านั้นที่ต่างกัน นั่นคือกันชนท้าย ที่คราวนี้จะไม่มีการเว้นช่องสำหรับปลายท่อไอเสียอีกต่อไปแล้ว เพราะมันมีได้ใช้

ขณะที่งานออกแบบบบภายในก็เรียกได้ว่าแทบไม่ได้แตกต่างไปจาก i7 รุ่นอื่นๆเลยเช่นกัน แต่ที่แตกต่างจากตัวรถที่ใช้รหัส M ขึ้นก่อนหน้าคันอื่นๆสักหน่อยตรงที่ตัวรถ i7 M70 xDrive รุ่นนี้ไม่ได้เน้นการใช้ชิ้นส่วนตกแต่งงานคาร์บอนไฟเบอร์มากมายเท่าไหร่นัก เพราะมันยังคงต้องรักษาภาพลักษณ์หรูเอาไว้บ้าง ตามฉบับรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่ BMW Series 7 นั่นเอง

สำหรับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW i7 M70 xDrive ยังคงไม่มีการเปิดเผยตัวเลขใดๆออกมาทั้งสิ้นในตอนนี้ จนกว่าจะถึงกำหนดการผลิต และเปิดรับจองอย่างเป็นทางการ ช่วงกลางปีนี้ แม้แต่ในไทยเอง ก็ยังต้องรออัพเดทด้วยเช่นกันว่าทาง BMW Thailand จะสนใจนำมันมาวางจำหน่ายในบ้านเราหรือไม่ ?

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่