รถยนต์ Series 5 พร้อมร่าง Touring หรือ ตัวถังวากอน อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่ปี 1992 แต่นั่นไม่ใช่กับตัวรถที่มาพร้อมกับขุมกำลังไฟฟ้าอย่าง BMW i5 Touring ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา

BMW i5 Touring และ BMW Series 5 Touring ถูกเปิดตัวในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ในฐานะว่าที่รถยนต์โมเดลปี 2025 โดยจุดเด่นของพวกมันในคราวนี้ ก็แน่นอนว่าจะอยู่ที่การให้ตัวถังแบบวากอนฉบับพ่อบ้านสายขนของ ที่แตกต่างจากร่างซีดานของ BMW i5 และ BMW Series 5 ที่ปรับโฉมใหญ่และเปิดตัวไปตั้งแต่ปีก่อน

แต่เนื่องจากสุดท้ายแล้ว ตัวรถยังคงใช้พื้นฐานโครงสร้างเดียวกัน นั่นจึงทำให้หน้าตาตัวรถช่วงครึ่งหน้า จะดูแทบไม่ต่างไปจากตัวรถร่างต้นที่เป็นตัวถังซีดาน ไม่ว่าจะเป็น กันชนหน้า, ช่องดักลมด้านหน้า (พร้อมออพชันกรอบไฟ LED ให้เลือกซื้อเพิ่ม), กระจังหน้า, และไฟหน้า แม้กระทั่งตัวเลือกลายล้อทั้ง ขนาด 18-19 นิ้ว กับออพชันนเสริมขนาด 21 นิ้ว ก็ยังเหมือน

ไม่เพียงเท่านั้น สัดส่วนตัวรถเอง ก็ยังมีตัวเลขเท่ากันกับร่างซีดานแทบทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นตัวถังด้านกว้าง 1,900 มิลลิเมตร, ด้านยาว 5,060 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,515 มิลลิเมตร, และระยะฐานล้อ 2,995 มิลลิเมตร

นอกนั้นในส่วน ความกว้างของฐานล้อหน้า-หลัง จะมีการบีบให้แคบลงเล็กน้อย, น้ำหนักตัวรถมากขึ้นกว่าเดิมอีกราวๆ 50-70 กิโลกรัม, และแน่นอนว่ามันจะได้พื้นที่เก็บของสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 490 ลิตร เป็น 570-1,000 ลิตร จากรูปทรงตัวถังครึ่งหลังที่เปลี่ยนไป และจากออพชันเบาะหลังพับได้ที่ติดรถมา

ในด้านงานออกแบบภายใน ก็เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างไปจากร่างซีดาน เว้นแค่เพียงเบาะนั่งตอนหลังที่ให้พนักหลังสูงกว่าหน่อย และสามารถปรับพับราบได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของสัมภาระดังที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้ นอกนั้นในส่วนของงานออกแบบแผงข้างประตู, เบาะนั่งคู่หน้า, คอนโซลหน้า, และคอนโซลกลาง

ส่วนชุดหน้าจอแบบ Curved Display ที่ประกอบไปด้วยชุดหน้าจอแสดงผลมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อกับจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 14.9 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 รองรับการเล่นเกมภายในรถผ่านระบบ AirConsole และการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านระบบ Android Auto กับ Apple CarPlay แบบไร้สาย ก็ยังคงมีมาให้

ทั้งนี้ เนื่องจากแนวหลังคาที่ยาวกว่ากันเยอะ จึงทำให้มันมาพร้อมกับหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่ดูจะยาวกว่าหน่อย และเพื่อเอาใจลูกค้าที่ชอบความพิเศษ มันจึงมีออพชันการตกแต่งเบาะนั่งภายในด้วยวัสดุหนัง BMW Individual Merino, ตัวเลือกลำโพง Bowers & Wilkins 18 ตำแหน่ง และระบบ BMW Interaction Bar ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อเพิ่มอีก

และในส่วนระบบความปลอดภัยกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เอง ก็ยังคงโดดเด่นด้วย แพ็คเกจระบบ Driving Assistant Professional ซึ่งจะประกอบไปด้วยระบบ Steering and Lane Control Assist and Distance Control พร้อมระบบ Stop & Go function ซึ่งช่วยให้คุณสามารถขับรถแบบปล่อยมือได้ที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง และยังมีระบบ Active Lane Change Assistant ใส่มาให้ด้วย

ด้านขุมกำลังตัวรถ ในฝั่ง BMW i5 Touring จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 81.2 kWh เหมือนกันทุกรุ่นย่อย ซึ่งรองรับการชาร์จผ่านระบบ AC ด้วยมาตรฐานกำลังไฟ 11 kW หรือ 22 kW และหากเป็นการชาร์จด้วยระบบไฟแบบ DC ก็จะสามารถรองรับมาตรฐานกำลังไฟสูงสุดที่ 205 kW ช่วยให้สามารถชาร์จกระแสไฟจาก 10-80% ได้ภายในระยะเวลาเร็วสุด 30 นาที

ขณะที่ขุมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า หากเป็นรุ่นเริ่มต้นรหัส i5 eDrive40 Touring ก็จะมาพร้อมกับระบบมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 340 PS และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 6.1 วินาที (ช้ากว่าร่างซีดาน 0.1 วินาที) พร้อมเคลมความเร็วสูงสุดที่ 193 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Electronic Lock) และมีการเคลมระยะทางในการใช้งานที่ 483-560 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 19.3 – 16.5 kWh ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP เช่นกัน

ฝั่งตัวแรงรหัส i5 M60 xDrive Touring ก็จะได้ระบบขับเคลื่อนแบบมอเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 601 PS และแรงบิดสูงสุด 820 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.9 วินาที (ช้ากว่าร่างซีดาน 0.1 วินาที) พร้อมเคลมความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Electronic Lock) และมีการเคลมระยะทางในการใช้งานที่ 445-506 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20.8 – 18.3 kWh ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP เช่นกัน

ด้านตัวรถที่ใช้ขุมกำลังภายใน ในตอนนี้จะมีให้เลือกเพียงแค่ขุมกำลังเดียว นั่นคือบล็อค ดีเซล 4 สูบเรียง เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 197 PS และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ 48v กำลังสูงสุด 11 PS และแรงบิดสูงสุด 25 นิวตันเมตร ในรูปแบบ Mild Hybrid จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

พร้อมเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.5 วินาที และเคลมความเร็วสูงสุดที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง 520d Touring (อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.9-5.3 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP) และ 218 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น 520d xDrive Touring (อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 6.2-5.7 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP)

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทาง BMW ยังไม่มีกดารเปิดเผยข้อมูลในจุดนี้ใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากกำหนดการวางจำหน่ายตัวรถจริงๆ จะประเดิมก่อนในทวีปยุโรป ช่วงกลางปีนี้

และแม้ตัวรถที่ใช้ขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในจะดูมีตัวเลือกค่อนข้างน้อย แต่พวกเขาก็ระบุว่าแท้จริงแล้ว ตัวรถที่ใช้ขุมกำลังดีเซล เทอร์โบ 6 สูบเรียง กับขุมกำลัง PHEV ยังคงมีให้ลูกค้าได้เลือกซื้ออยู่ แต่จะมีการเปิดเผยข้อมูลอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่