หลังการเผยโฉมครั้งแรกในตลาดโลกไปเพียงไม่นาน ในที่สุด BMW i5 ซีดานกลางขุมกำลังไฟฟ้า 100% ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถูกวางจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยราคาเริ่มต้น 4,999,000 บาท

BMW i5 หากมองจากเปลือกนอกเพียงอย่างเดียว ก็เรียกได้ว่ามันแทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก BMW Series 5 ที่เป็นร่างต้นของมันเลยแม้แต่น้อย ทั้งในส่วนของ ไฟหน้า LED พร้อมแถบไฟ DRL แบบใหม่, ตัวถังด้านข้างที่ยังคงใช้เส้นสายโค้งมน แต่ตัดเลี่ยนด้วยขอบคมที่ชายล่างบานประตู, มือเปิดประตูแบบราบไปกับแนวตัวถัง, แนวเสา C ตำแหน่งหลังบานกระจกมีการแปะเพลทปั๊มลายหมายเลข “5” สีดำเอาไว้, และไฟท้ายแบบกรอบตรงทรงโมเดิร์น

จุดที่แตกต่างไป ก็มีเพียงกันชนหน้าที่ถูกปรับดีไซน์ให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น และหรูหรา แต่ไม่หวือหวาจนเกินไปเมื่อเทียบกับตัวรถ Series 5 เจนฯก่อน และกลายเป็นแบบเฉพาะรุ่น เช่นเดียวกับชุดกันชนท้าย, ชุดล้อก้านใหญ่ ปัดเงาเพื่อเล่นมิติกับสายตาขนาด 19 นิ้ว (หากเป็น Series 5 รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปฯ จะได้ล้อ 18 นิ้ว), ไฟท้ายแบบเส้นตรงทรงโมเดิร์น และที่ขาดไม่ได้คือชุดกระจังหน้า ที่แม้จะยังคงมีซี่แนวตั้งอยู่ตรงกลางเหมือนเดิม แต่ก็เป็นแบบแผ่นปิดทึบ ตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่เว้นแม้แต่รุ่น M ที่ได้ฝากระจังหน้าแบบทำลายนูนแนวนอนแต่พื้นหลังยังเป็นแบบปิดทึบเช่นกัน

ด้านงานออกแบบภายในห้องโดยสารเอง ก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก Series 5 MY2024 ร่างต้นเช่นกัน ทั้งคอนโซลหน้า ที่ยังคงใช้เส้นสายแบบเหลี่ยม นูนตรงกลาง, พวงมาลัยที่ถูกปรับรูปทรงใหม่ ให้เป็นแบบ D-Shape ซึ่งดูสปอร์ตยิ่งขึ้น

ชุดหน้าจอ Curve Display แบบกึ่งลอยตัวแนวยาว ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อกันระหว่างจอแสดงผลข้อมูลมาตรวัดของผู้ขับขนาด 12.3 นิ้ว เข้ากับชุดจอระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 14.9 นิ้ว ที่มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ คือระบบเกมคอนโซลที่ผู้โดยสารสามารถดาวน์โลหดเกมไว้เล่นในรถได้ แต่จะทำได้เฉพาะเมื่อรถจอดอยู่กับที่

แท่นคอนโซลกลาง มาพร้อมกับสวิทช์โยกตำแหน่งเกียร์ขนาดเล็ก ตามฉบับรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนตัวลูกบิด iDrive ที่ยังคงมีมาให้ ก็ใส่มาเพื่อความภาคภูมิใจของทาง BMW เท่านั้น เพราะทางค่ายระบุว่า แม้มันจะใช้งานได้จริง แต่ด้วยการปรับปรุงระบบซอฟท์แวร์อินโฟเทนเมนท์ใหม่ เป็น iDrive 8.5 กับการอัพเดทระบบสังเกตท่าทางผู้ใช้ภายในห้องโดยสาร จึงทำให้ตัวลูกบิดนี้ แทบไม่จำเป็นต่อการใช้งานอีกต่อไป (เว้นเสียแต่ว่าลูกค้าจะพึงพอใจกับการใช้งานกลไกแบบเดิมๆที่คุ้นมือมากกว่าต่อไป)

และเช่นเดียวกันเบาะนั่งภายในห้องโดยสาร ที่ได้ถูกปรับแบบใหม่ ให้มันดูสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น แต่ทั้งนี้มันก็ยังคงถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์จากพืชที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายเมื่อถึงเวลาอยู่ดี

สิ่งที่ต่างออกไปจริงๆสำหรับตัวรถ i5 รุ่นนี้ กับร่างต้น ก็คือแผงควบคุมระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารที่อยู่ใต้แนวจอ ที่ถูกปรับเป็นแบบระบบสัมผัส ซึ่งออพชันนี้จะมีให้เป็นออพชันพื้นฐานเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ส่วน Series-5 รุ่นอื่นๆจะเป็นเพียงออพชันเสริมที่ลูกค้าต้องเลือกซื้อเพิ่ม

ขุมกำลังที่ให้มาในตัวรถ BMW i5 แรกเริ่มตอนนี้ จะมีให้ลูกค้าได้เลือกซื้อเพียง 2 แบบ เท่านั้น นั่นคือ

  • BMW i5 eDrive40 ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยวสำหรับขับเคลื่อนชุดล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุด 340 PS และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร พร้อมโหมดการขับขี่ Sport Boost และระบบควบคุมการออกตัว ช่วยให้มันสามารถออกตัวจากหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 6.0 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 193 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน ที่ 18.9-15.9 kWh/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
  • BMW i5 M60 xDrive ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูก แยกกันขับเคลื่อนชุดล้อทั้งสี่ ให้กำลังสูงสุด 601 PS และแรงบิดสูงสุด 820 นิวตันเมตร พร้อมโหมดการขับขี่ Sport Boost และระบบควบคุมการออกตัว ช่วยให้มันสามารถออกตัวจากหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 3.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน ที่ 20.6-18.2 kWh/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

โดยตัวรถทั้งสองรุ่น จะใช้แบตเตอรี่ขนาดเท่ากัน นั่นคือ แบตเตอรี่ขนาด 81.2 kWh ที่จะติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกัน จึงทำให้

  • BMW i5 eDrive40 มีระยะทางในการใช้งานสูงสุด/ชาร์จตั้งแต่ 497-582 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และยังมีฟังก์ชัน MAX RANGE ที่ช่วยเพิ่มระยะทางในการใช้งานต่อชาร์จได้อีก 25% โดยแลกกับการจำกัดความแรงและความเร็วของมอเตอร์
  • BMW i5 M60 xDrive มีระยะทางในการใช้งานสูงสุด/ชาร์จตั้งแต่ 455-516 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP (ไม่มีฟังก์ชัน MAX RANGE)

ส่วนความสามารถในการชาร์จ หากเป็นการชาร์จด้วยระบบไฟ AC จะรองรับความแรงในการชาร์จ 11 kW เป็นระดับเริ่มต้น และลูกค้าสามารถซื้อออพชันอัพเกรดเป็น 22 kW ได้ในภายหลัง ส่วนการชาร์จด้วยระบบไฟ DC หรือ Fast Charge จะรองรับแรงดันไฟสูงสุด 205 kW ช่วยให้การชาร์จไฟจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ จะใช้เวลาเพียง 30 นาที เท่านั้น

ด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเสริมความมั่นใจในการขับขี่ ก็เรียกได้ว่าจัดมาให้ครบครัน เช่น ระบบควบคุมการลื่นไถลของล้อ, ระบบบควบบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก, ระบบเสริมแรงเบรก, ระบบกระจายแรงเบรก, ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า พร้อมการแปรผันอัตราทดอัตโนมัติ, และ ระบบโช้กปรับไฟฟ้า

และหากเป็นตัวรถรุ่นท็อปอย่าง i5 M60 xDrive ก็จะได้ระบบกันสะเทือน M, ระบบเบรก M, ระบบโช้กแปรผันความหนืดอัตโนมัติ, เหล็กกันโคลงไฟฟ้า (แปรผันความแข็ง-อ่อนได้ตามความเร็ว และลักษณะการขับขี่) เพิ่มเติมอีก

ขณะเดียวกันในส่วนระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานต่างๆเอง ก็ยกมาให้ครบครัน แต่ที่โดดเด่นกว่านั้น คือระบบความปลอดภัยขั้นสูง Driving Assistant Professional ที่จะประกอบไปด้วย ระบบช่วยเลี้ยว และควบคุมการอยู่ในช่องทาง รวมถึงการควบคุมระยะห่างระหว่างรถคันหน้าแบบ Stop & Go

ตามด้วยระบบ Highway Assistant ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถขับรถปล่อยมือได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทว่าเพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัย สายตาของผู้ขับยังจะต้องจดจ้องที่เส้นทางอยู่ และระบบจะใช้สายตาของผู้ขับ ในระบบ Active Lane Change Assistant เพื่อเป็นการยืนยันจังหวะที่ระบบมองว่ารถควรต้องเปลี่ยนเลน (เพื่อแซงรถคันข้างหน้า หรือหลบรถคันข้างหลัง)ด้วย

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ BMW i5 ทั้งสองรุ่น ก็จะมีรายละเอียดดังนี้

  • BMW i5 eDrive40 : ราคา 4,999,000 บาท
  • BMW i5 M60 xDrive : ราคา 5,599,000 บาท

ราคารวมการรองรับบริการมาตรฐาน BSI Standard 4 ปี, การรับประกันตัวรถไม่จำกัดระยะทาง 4 ปี, และการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ ไม่เกิน 160,000 กิโลเมตร

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: