แม้จะพึ่งมีการเปิดตัว BMW M4 CSL ไปเพียงไม่นาน แต่ล่าสุดทางค่ายก็ได้มีการเผยโฉม BMW 3.0 CSL ซึ่งถือเป็นร่างอัลติเมทขั้นสุดยิ่งกว่าออกมาเพิ่มอีก เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี BMW Motorsport GmbH

อย่างที่ระบุไว้ในข้างต้น BMW 3.0 CSL ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี MW Motorsport GmbH โดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงมีแรงบันดาลใจในการสร้าง มาจากตัวแข่งในตำนาน ที่เหล่าสาวก “บีมเมอร์” ทุกคนคงพอจะเดาออกกันอยู่แล้วว่านั่นคือ รถ BMW 3.0 CSL รุ่นปี 1972 ที่มีชื่อเล่นว่า “Batmobile”

แน่นอน เนื่องจากตัวรถ 3.0 CSL รุ่นใหม่นี้ ไม่มีรถ M3 ร่างคูเป้ให้นำมาต่อยอดเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นพื้นฐานตัวรถที่แท้จริงของมัน จึงเป็น M4 CSL (ซึ่งจริงๆ M4 ก็คือ M3 ร่างคูเป้ในอีกนิยามหนึ่งนั่นแหล่ะครับ) ที่พึ่งจะประกาศวางขายในประเทศไทยของเราเพียงไม่นาน

แต่เพื่อให้มันมีหน้าตาและกลิ่นอายที่ใกล้เคียงกับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่เมื่อ 50 ปี ก่อนให้มากที่สุด ตัวรถคันนี้ จึงได้รับการติดตั้งชุดบอดี้พาร์ทใหม่รอบคัน ที่ทำให้มันดูอวบอิ่ม และดุดันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดโป่งล้อหน้า-หลัง ที่ดูหนากว่าเดิมเดิมอย่างเห็นได้ชัด

แถมหากลองสังเกตกันให้ดี ก็จะพบว่าในขณะที่โป่งหน้าของมัน จะเชื่อมเส้นสายลามไปถึงฝากระโปรงหน้าแล้ว ในส่วนโป่งหลังเอง ก็จะเชื่อมเส้นสายเป็นชิ้นเดียวกันกับสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ทรงคลาสสิค และทางค่ายก็ยังไม่ลืมที่จะเปลี่ยนรูปทรงกันชนหน้ากับกระจังหน้าใหม่ เพื่อให้เข้ากันกับเส้นสายตัวรถทั้งหมด และยังไม่ลืมที่จะใส่สปอยเลอร์ชิ้นเล็กติดตั้งเอาไว้บนหลังคาอีกด้วย เพื่อเก็บรายละเอียดกลิ่นอายจากรุ่นพี่ในตำนานให้ครบๆอย่างแท้จริง

ในส่วนรายละเอียดการตกแต่งหรือปรับแต่งที่เห็นได้จากภายนอก ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากการเปลี่ยนชุดบอดี้พาร์ทรอบคันที่ไล่เรียงมา ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุ Carbon Fiber Reinforced Plastic (CFRP) น้ำหนักเบาแล้ว ตัวรถรุ่นนี้ ยังมาพร้อมกับชุดล้ออัลลอยด์ลายพิเศษ สีทอง ขนาด 20 และ 21 นิ้ว ตามลำดับหน้า-หลัง รัดด้วยยางสเป็คพิเศษจาก Michelin และยังมีจานเบรกคาร์บอนเซรามิคติดตั้งมาให้เป็นออพชันพื้นฐานตั้งแต่ออกโรงงาน

และสุดท้ายสิ่งในส่วนสิ่งที่จะเห็นได้จากภายนอกก็คือ งานสีตัวถัง Alpine white กับลวดลายที่ต้องใช้กระบวนการพิเศษในการทำ ซึ่งกินเวลาในการผลิตรถต่อคันเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 6,700 ชั่วโมง

ด้านงานตกแต่งภายใน หลักๆแล้วก็จะเป็นการใช้ชิ้นส่วนหลายๆอย่าที่ใกล้เคียงกับรถ M4 CSL ด้วยการใช้วัสดุจำพวก หนังอัลคันทาร่า สลับกันชิ้นส่วนงานคาร์บอนไฟเบอร์ผิวด้าน เพื่อเพิ่มความดิบ และไล่เบาไปในตัว ไม่เพียงเท่านั้น ขณะที่ตัวเบาะหน้า เป็นเบาะออพชัน M Carbon Full Bucket Seats พร้อมป้ายโลโก้ประจำตัวรุ่น ฝั่งตัวเบาะด้านหลัง ก็ได้ถูกถอดออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นพื้นที่สำหรับยึดหมวกกันน็อคแทน

ขณะที่แผงประตูภายนอก อาจจะเห็นว่าเป็นงานหุ้มหนัง แต่ภายในของมัน ได้ถูกถอดวัสดุซับเสียงธรรมดาทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยแผ่นซับเสียงซึ่งทำขึ้นจากวัสดุ CFRP เพื่อไล่เบา (แต่การเก็บเสียงจะดีขึ้นหรือแย่ลงนั้น คงต้องถามคนที่มีโอกาสได้ขับมันจริงๆดูอีกที)

และถึงแม้ชุดจอต่างๆในตัวรถจะยังคงเป็นจอเดียวกันกับรถ M4 แต่ทางค่ายก็ได้มีการใส่กราฟฟิกหมายเลขลำดับการผลิต เอาไว้ที่ตัวหน้าจอมาตรวัด ส่วนลำดับตัวเลขการผลิตที่สามารถเห็นและสัมผัสได้โดยไม่ต้องสตาร์ทรถอีกจุด ก็จะอยู่บริเวณข้างช่องแอร์ฝั่งผู้โดยสาร แต่เป็นเพียงเลขสกรีนเอาไว้เท่านั้น เพื่อไล่เบา

และหากมองไปที่คันเกียร์ ก็จะพบว่ามันใช้หัวเกียร์แบบคลาสสิคอีกด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าภายในของมันจะมีเพียงชิ้นส่วนนี้เท่านั้น ที่ดูจะสื่อถึงรุ่นพี่ในตำนานได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดของการตกแต่งภายในตัวรถ

ขุมกำลังของมัน ก็ถือเป็นอีกจุดที่ได้รับการอัพเกรด (?) จากรถ M4 CSL เช่นกัน เพราะแม้มันจะยังคงใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ ลูกเดิม แต่ด้วยการปรับจูนใหม่จึงทำให้มันมีแรงม้าเพิ่มขึ้นอีก 10 ตัว เป็น 560 PS แต่เนื่องจากตัวรถมาพร้อมกับชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เพื่อส่งกำลังไปยังชุดล้อด้านหลังเพียงเท่านั้น ตัวเลขแรงบิดสูงสุดของมันจึงถูกปรับทอนให้น้อยลงกว่า 100 นิวตันเมตร เหลือ 550 นิวตันเมตร เมื่อเทียบกับตอนที่มันยังอยู่ในรถร่างต้นซึ่งใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Xdrive

ระบบช่วงล่างของมัน ก็จะได้รับการปรับเซ็ทใหม่ พร้อมระบบปรับและแปรผันไฟฟ้า Adaptive M Suspension ขณะที่ระบบเฟืองท้าย ก็จัดเต็มด้วย ระบบ Active M Differential เพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้มั่นคงที่สุดขณะเติมคันเร่งออกจากโค้ง

ทั้งนี้ ทาง BMW ไม่ได้มีการเปิดเผยว่า ตัวเลขสมรรถนะต่างๆของตัวรถ BMW 3.0 CSL คันนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากการบอกไบ้ว่า มันมีอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่ 2.9 กิโลกรัม ต่อ 1 PS ซึ่งเท่ากับว่ามันจะมีน้ำหนักตัวที่ 1,624 กิโลกรัม และนั่นก็ทำให้มันมีน้ำหนักเบากว่า M4 CSL เพียง 1 กิโลกรัม เท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้เจ้ารถคันนี้ ถือเป็นรถที่ใช้พื้นฐาน M4 ที่เบาที่สุดและแรง(ม้า)มากที่สุดเท่าที่ทางค่ายเคยทำมา

แน่นอน แม้ทางค่ายจะไม่ได้มีการเปิดเผยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของมันออกมา แต่ด้วยจำนวนการผลิตเพียง 50 คันบนโลก และกำหนดการส่งมอบที่ระบุไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่เกิน 3 เดือน นับจากนี้ จึงทำให้เราเชื่อว่าป่านนี้ตัวรถน่าจะถูกจับจองโดยเหล่าสาวกบีมเมอร์ ไม่ก็มหาเศรษฐีนักสะสมไปหมดแล้วเป็นที่เรียบร้อย

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่