หากพูดถูกชื่อแบรนด์ Aston Martin หนึ่งในรถของพวกเขาที่หลายคนรู้จักกันดีย่อมเป็นตระกูล DBS ที่ปรากฏในภาพยนต์สายลับ James Bond มาแล้วหลายครา และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะมีรุ่นย่อยใหม่ ให้เราได้ทำความรู้จักกันเพิ่มอีก กับ Aston Martin DBS 770 Ultimate ที่เรากำลังเห็นกันอยู่ในตอนนี้

Aston Martin DBS 770 Ultimate อาจไม่ได้ดูเป็นรถซุปเปอร์คาร์แนวแกรนด์ทัวร์เรอร์ที่มาพร้อมกับหน้าตาหวือหวามากนัก แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้มันดูมีความสุขุม แถมยังแฝงไปด้วยความดุด่นตามรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ตัวรถดูน่าค้นหามากขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงมันก็คือเอกลักษณ์ที่มีมาตั้งแต่รถยนต์ตระกูล DBS ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

แต่หากเทียบความแตกต่างระหว่างเจ้า DBS ร่างพิเศษคันใหม่ล่าสุดรุ่นนี้ กับตัวรถที่เป็นร่างต้นอย่าง DBS Superleggeraเราก็จะพบว่ามันมีรายละเอียดในเรื่องงานออกแบบยิบย่อยที่แตกต่างกันอยู่หลายจุด

เริ่มจากชุดกันชนหน้า ที่แม้จะยังคงมาพร้อมกับกรอบกระจังหน้าขนาดใหญ่และรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิม แต่ตัวกรอบช่องดักลมที่ขนาบทางด้านข้าง จะมีการเสริมครีบดักอากาศยื่นออกมาอีกชั้น เพื่อการดักลมไปเป่าระบบเบรกที่ดีกว่า

ส่วนฝากระโปรงหน้าเอง ก็ถูกออกแบบช่องระบายความร้อนห้องเครื่องใหม่ จากเดิมที่มีเพียง สองรู แยกฝั่งกันซ้าย-ขวา ตอนนี้เปลี่ยนเป็นครีบรีดอากาศจากซุ้มล้อสองฝั่ง และมีช่องรีดความร้อนออกจากห้องเครื่องขนาดใหญ่รูปตัว U อยู่ตรงกลาง

ขณะที่เมื่อมองจากมุมด้านท้ายรถ ก็จะพบความแตกต่างตั้งแต่ชิ้นสเกิร์ตข้าง ที่ในคราวนี้ ก็มีการเสริมครีบตัดอากาศเข้ามาช่วงก่อนถึงซุ้มล้อหลัง ส่วนกันชนท้ายก็มีการออกแบบชุดดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ให้สามารถรีดอากาศและสร้างแรงกดในช่วงท้ายได้มากกว่าเดิม จากชุดครีบที่มากขึ้น เช่นเดียวกับสปอยเลอร์หลังทางด้านบน ที่ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นมาอีกนิดเมื่อเทียบกัน

สุดท้ายคือชุดล้อที่ถูกเปลี่ยนลายใหม่ โดยบริเวณตรงกลางมีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ก่อนที่จะยื่นก้านออกมาที่ขอบล้อ แต่ก็ยังคงรัดด้วยยางขนาดเท่าเดิม คือ 265/35R21 ทางด้านหน้า และ 305/30R21 ทางด้านหลัง ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นยางที่ใช้ ก็เป็น Pirelli P Zero ยางยอดนิยมสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงนั่นเอง

ด้านงานตกแต่งภายใน ถือว่าไม่ได้มีความแตกต่างไปจากร่างต้นเท่าไหร่นัก เว้นเพียงจุดที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนที่สุด คือการปักโลโก้ไว้ที่แผงประตูตำแหน่งที่วางแขน และการสกรีนโลโก้พิเศษเฉพาะรุ่นบนแผ่นอลูมิเนียมยึดเข็มขัดรัดฝาปิดช่องเก็บของตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร

นอกนั้นในส่วนของชุดเบาะนั่งติดรถ จะเป็นเบาะออพชัน Sports Plus ให้มาตั้งแต่ออกโรงงาน ซึ่งเป็นเบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ สลับกับหนังอัลคันทาร่ากันไฟ, ตัวพนักเบาะเป็นชิ้นงานคาร์บอน เช่นเดียวกับ แพดเดิลชิฟท์ ก้านพวงมาลัย และคอนโซลกลาง ซึ่งหากการตกแต่งเท่านี้ยังไม่พอ ลูกค้าเจ้าของรถก็สามารถออกแบบงานตกแต่ง และเลือกวัสดุที่ใช้กับแผนก “Q” (คล้ายแผนกวิจัยอาวุธขั้นสูงของภาพยนต์ James Bond) ของ Aston Martin ได้อีกตอนทำเรื่องซื้อรถ

แต่ทั้งหมดที่ไล่เรียงมา ยังไม่ใช่จุดขายสำคัญของเจ้า DBS ร่างอัลติเมทรุ่นนี้ เพราะเรายังไม่ได้ไล่ถึงขุมกำลัง V12 ขนาด 5.2 ลิตร พ่วงเทอร์โบคู่ ของมัน ที่ได้รับการปรับจูนใหม่ ทั้งในส่วนของพอร์ทไอดี และการจุดระเบิด รวมถึงการเพิ่มบูสท์จากเทอร์โบอีก 7% จนมันสามารถทำแรงม้าได้มากขึ้นกว่า DBS Superleggera อีก 45 PS เป็น 770 PS และ มีแรงบิดสูงสุดอีก 900 นิวตันเมตร

ฝั่งระบบส่งกำลังของตัวรถรุ่นนี้ จะยังคงเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด จาก ZF แต่แน่นอนว่ามันก็ได้ถูกปรับจูนการทำงานใหม่ ให้เข้ากับพละกำลังจากเครื่องยนต์ที่มากขึ้น โดยที่ระบบขับเคลื่อนจะยังคงใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเช่นเดิม และพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะใส่ระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปมาให้ เพื่อความมั่นคงของตัวรถในยามเติมคันเร่งหนักๆ

อย่างไรก็ดี แม้ตัวรถจะมีพละกำลังที่มากขึ้น แต่ความเร็วสูงสุดของมัน ยังคงถูกล็อคไว้เท่าเดิม ที่ 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยการเคลมว่ามันคือรถยนต์ตระกูล DBS ที่แรงและเร็วที่สุด เท่าที่ทางค่ายเคยทำมา จึงทำให้หลายคนมองว่ามันน่าจะทำอัตราเร่งในการเรียกความเร็วช่วงย่านต่างๆได้ดีกว่าเดิมแน่นอน แต่จะเร็วขึ้นเท่าไหร่ ทางค่ายยังไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขที่ว่าออกมาในตอนนี้..

การปรับปรุงสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับเจ้า Aston Martin DBS 770 Ultimate ก็คือระบบกันสะเทือน ที่ถูกปรับเซ็ทความหนืดใหม่ ให้มีความดูดพื้นยิ่งขึ้น รวมถึงการปรับปรุงซอฟท์แวร์ระบบควบคุมช่วงล่างไฟฟ้าใหม่ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังมีการเสริมความแข็งแรงตัวถังช่วงห้องเครื่อง และแพท้ายให้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าในส่วนเบรกยังคงยกมาจาก DBS Superleggera เช่นเดิม เพราะด้วยความเป็นจานเบรกคาร์บอนเซรามิคขนาด 410 นิ้ว ทางด้านหน้า และ 360 มิลลิเมตร ทางด้านหลัง จึงถือว่าเหลือเฟือแล้วสำหรับการใช้งาน

โดยตัวรถรุ่นนี้ จะถูกผลิตในจำนวนจำกัด เพียง 499 คัน บนโลก แบ่งเป็นรุ่น Coupes จำนวน 300 คัน และรุ่น Volantes (หลังคาเปิดประทุน) อีก 199 คัน ส่วนราคายังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่าจะมีการประกาศอีกครั้งในช่วงไม่เกินไตรมาสแรกของปีนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่