ครั้งหนึ่ง ชื่อของ Mitsubishi Eclipse Cross ได้ถูกทำให้เลือนหายไปจากตลาดยุโรป แต่ในวันนี้มันได้กลับมาอีกครั้งพร้อมหนึ่งในจุดขายคือการหันไปใช้ขุมกำลังพลังงานไฟฟ้า 100% หรือ EV แบบเต็มตัว ด้วยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มจาก Renault

เช่นเดียวกับหลายครั้งที่มีการเปิดตัวรถใหม่ในยุโรป Mitsubishi Eclipse Cross EV ก็ยังเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้แพลตฟอร์ม หรือเอาจริงๆคือพื้นฐานตัวรถแทบทั้งคันจากแบรนด์ Renault เช่นกัน เหมือนกับ Colt (Clio), ASX (Captur), และ Grandis (Symbioz)
โดยคราวนี้จะเป็นการนำเอารถ Renault Scenic E-Tech มาปรับเปลี่ยนรายละเอียดใหม่ให้มีความเป็นรถจากแบรนด์ Mitsubishi มากขึ้น และทำให้มันกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันที่ 2 ของแบรนด์ในตลาดโลก ต่อจาก Mitsubishi i-MiEV รถยนต์ Production EV Car คันแรกของโลกที่พวกเขาเลิกขายไปตั้งแต่ปี 2021
ด้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็จะเริ่มจากการปรับดีไซน์หน้ารถใหม่แทบทั้งหมด โดยเหลือไว้แค่เพียงดวงไฟคู่หน้าที่ยังคงมีลักษณะเป็นแถบยาวพร้อมดวงไฟ LED Projector ฝั่งละ 3 ดวงดังเดิม
นอกนั้นจะมีการปรับชิ้นกระจังหน้าแบบปิดทึบใหม่ให้มีความหนาขึ้นมาและปรับกรอบให้มีความเป็น DYNAMIC SHIELD และเติมแถบไฟ LED ใต้ไฟหน้าแบบรถยนต์ยุคใหม่ของแบรนด์ และปรับงานออกแบบชายล่างกันชนให้ดูมีความโฉบเฉี่ยวแต่ยังคงบึกบึน
ตามด้วยการปรับเปลี่ยนชุดล้อแบบปิดทึบใหม่ ให้มีลวดลายแบบ 3 เหลี่ยมดิจิตอล และด้านหลังก็มีการปรับไฟท้ายใหม่ ให้มีแถบเชื่อมต่อตรงกลางคล้ายกับทรง Cross Tailight แต่ดวงไฟไม่ได้กินพื้นที่เต็มทั้งแถบ และปรับงานออกแบบกันชนท้ายใหม่เล็กน้อยให้ดูเชิดสูงกว่าเดิม เพื่อเพิ่มความโดดเด่นจากทางด้านหลัง
ภายในห้องโดยสารแทบจะไม่ได้มีความแตกต่างจากร่างต้นที่เป็นของ Renault ด้วยการใช้หน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 12.3 นิ้ว และจอระบบอินโฟเทนเมนท์แนวตั้งขนาด 12 นิ้ว ที่จะหันเข้าหาตัวผู้ขับเล็กน้อยและติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวเป็นกรอบเชื่อมต่อมาจากจอแสดงผลข้อมูลตัวรถอีกที และจอนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Google Assistance Built In ทำงานร่วมกับระบบเครื่องเสียงจาก Harman & Kardon
นอกนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในการใช้งานอีกมากมาย ทั้งเบาะนั่งหุ้มหนังเดินตะเข็บด้ายแบบตารางสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด พร้อมคุมโทนสีดำขาว และมีระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้าบนเบาะคู่หน้า, เสริมความดุด้วยไฟแวดล้อมสีแดง ที่ลูกค้าสามารถปรับสีได้อีกนิดหน่อย, เพิ่มความโปร่งด้วยหลังคากระจก, ระบบเปลี่ยนเกียร์ด้วยก้านกระดกบนคอพวงมาลัย และมีระบบ ADAS มาให้ครบครัน ไม่เว้นแม้กระทั่งระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนเมื่อขับบนทางไฮเวย์
และเบาะหลังยังสามารถพับราบเพื่อปรับขนาดความจุห้องเก็บสัมภาระด้านหลังจาก 478 ลิตร เป็นสูงสุด 1,670 ลิตร อีก
ด้านขุมกำลังตัวรถ เบื้องต้นจะมีการประกาศข้อมูลออกมาแค่เฉพาะรุ่นมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังสูงสุด 218 PS ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 87 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 600 กิโลเมตร/ชาร์จ มาพร้อมกับระบบระบายความร้อนแบตด้วยน้ำ และช่วยให้มันสามารถรองรับกำลังไฟในการชาร์จกลับได้สูงสุด 150 kW
ขณะที่ราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการยังไม่มีการเปิดเผยออกมา เนื่องจากกำหนดการวางขายจริงของตัวรถ จะเกิดขึ้นในปี 2026 เช่นเดียวกับข้อมูลขุมกำลังโดยละเอียด รวมถึงข้อมูลรถไลน์อัพอื่น ทาง Mitsubishi ระบุว่าจะมีการทยอยเปิดตัวอีกครั้งในปีหน้าเช่นกัน
แต่ก็คาดว่าจะเป็นตัวรถรุ่นกลาง ที่ใช้สเป็คมอเตอร์และแบตเตอรี่แบบเดียวกับคู่แฝด ซึ่งมีรุ่นที่ใช้มอเตอร์เดี่ยวกำลังสูงสุด 170 PS ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 60 kWh ด้วยนั่นเอง
ส่วนการวางจำหน่ายในใประเทศไทย เข้าใจว่าอาจจะแทบเลิกหวังกันไปได้เลย เพราะตัวรถรุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นโดยโรงงานของ Renault ในฝรั่งเศส และอาจเป็นรถที่มีไว้เพื่อวางจำหน่ายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น แม้กระทั่งลูกค้าในญี่ปุ่นเอง ก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสสัมผัสมันด้วยเช่นกัน