นอกจากการขายรถยนต์นั่งทั่วไป Toyota ยังให้ความใส่ใจในการทำรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพานิชย์ด้วย และ Toyota e-Palette คันนี้ ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

Toyota e-Palette คือรถชัตเติ้ลบัสไฟฟ้าโมเดลใหม่ล่าสุดของแบรนด์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงรถต้นแบบเท่านั้นเมื่อปี 2018 ในงาน CES ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงนำมาโชว์ตัวให้ชาวโลกได้เห็นอีกครั้งในงาน Tokyo Olympic ปี 2021
โดยในตัวรถขายจริง ทางค่ายก็ยังคงใช้งานออกแบบทรงกล่องแบนสูง ใช้ล้อหน้าแคบ เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้สอยภายในสูงสุด รวมถึงยังมีป้ายไฟ LED ไว้บอกหมายเลข เส้นทาง หรือข้อความทักทายผู้ที่กำลังจะใช้บริการไว้ทั้งทางด้านหน้า ด้านข้างส่วนบน และด้านหลังของตัวรถ ส่วนไฟหน้าและไฟท้ายจะเป็นแบบโคมโดนัทยกชุด เพื่อเสริมความน่ารัก ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้ร่วมถนนเข้าไป
และเพื่อทำให้ทัศนวิสัยในตัวรถมีความโปร่งเป็นพิเศษ รถจึงใช้กระจกบานใหญ่เกือบเต็มพื้นที่รอบคัน โดยที่ฝั่งซ้ายตัวรถ ยังมีประตูบานสไลด์ขนาดใหญ่ พร้อมแลมพ์สแตนเลสไว้อำนวยความสะดวกเผื่อในกรณีที่มีผู้โดยสารนั่งรถเข็นต้องใช้บริการ


ภายในห้องโดยสาร ตัวรถจะมาพร้อมกับเบาะนั่งด้านหน้าสำหรับผู้ขับซึ่งติดตั้งอยู่ตรงกลาง เพื่อให้ทัศนวิสัยทั้งซ้ายและขวาของผู้ขับมีความสมมาตร และมีพวงมาลัยแบบ Yoke พร้อมระบบ Steer-By-Wire
คอนโซลซึ่งเต็มไปด้วยปุ่มกดต่างๆจำเป็นสำหรับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นปุ่มคุมลูกเล่นต่างๆของตัวรถ โดยเฉพาะปุ่มสั่งเปิด-ปิดประตู และมีหน้าจอหลากหลายขนาด ไว้แสดงผลข้อมูลสถานะตัวรถ, แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดถ่ายห้องโดยสารที่อยู่หลังผู้ขับ, และจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์, กับจอแสดงผลเส้นทาง
และด้วยขนาดตัวรถที่มีด้านยาว 4,950 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 2,080 มิลลิเมตร, ด้านสูงอีก 2,650 มิลลิเมตร จึงทำให้รถสามารถจุผู้โดยสารได้มากถึง 17 คน แบ่งเป็น 12 คน ยืน และอีก 4 คนนั่ง หรือ หากคนไม่แน่นนัก ก็สามารถปรับเบาะพับที่อยู่ตรงกลางรถ ให้กางออกมาได้อีก 3 ที่นั่งด้วยกัน
หรือหากผู้ใช้ไม่ได้อยากจะซื้อรถไปรับ-ส่งผู้โดยสาร ก็สามารถทำให้รถกลายเป็นร้านขายของเคลื่อนที่ หรือจะดัดแปลงเป็นรถขายอาหารเคลื่อนที่เผื่อขายในสถานีชาร์จก็ยังได้
และเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้งาน เบื้องต้นตัวรถรุ่นนี้จะถูกขายพร้อมกับระบบ ADAS ซึ่งมีความสามารถในกับขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 และหากลูกค้าสนใจ ทาง Toyota ยังระบุว่าพวกเขาจะมีแพ็คเกจอัพเดททั้งชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ ให้รถสามารถใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 4 ได้อีก โดยคาดว่าจะทำให้สำเร็จภายในปีงบประมาณ 2027 หรือไม่เกิน วันที่ 30 มีนาคม ปี 2028
ด้านรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆ ด้วยโครงสร้างตัวถังที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้มันมีน้ำหนักตัวสูงถึง 2,950 กิโลกรัม แต่จะขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังมอเตอร์เดี่ยว พละกำลังสูงสุดเพียง 204 แรงม้า PS และ แรงบิดสูงสุด 266 นิวตันเมตร พร้อมความสามารถในการทำความเร็วสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งอาจจะดูไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก และถือว่าอัพเกรดขึ้นมาพอสมควรจากตัวรถรุ่นต้นแบบที่เปิดให้ทดลองใช้งานในการแข่งโอลิมปิก ที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพียง 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนแบตเตอรี่ มีขนาด 72.82 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชาร์จ และสามารถชาร์จไฟจาก 10-80% ได้ภายในเวลา 40 นาที ด้วยการชาร์จไฟแบบ DC หรือ 10-100% ในเวลา 12 ชั่วโมง และมันยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉินด้วยระบบ V2L ได้อีก
โดยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถ Toyota e-Palette จะมีตัวเลขที่สูงถึง 29 ล้านเยน หรือราวๆ 6.2 ล้านบาท ซึ่งนั่นถือว่าแพงกว่ารถยนต์นั่งรุ่นเรือธงของแบรนด์อย่าง Toyota Century SUV เสียอีก และทำให้มันกลายเป็นรถที่แพงที่สุดเท่าที่คนทั่วไปจะซื้อได้จากแบรนด์ Toyota ในตอนนี้ทันที
แต่โชคดี สำหรับผู้ที่สนใจ ทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น ก็มีเงินอุดหนุนมอบให้กับผู้ซื้้ออีก 15.8 ล้านเยน หรือราวๆ 3.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพานิชย์เช่นเจ้า e-Palette คันนี้มากขึ้นด้วย
ส่วนในประเทศไทย คาดว่าอีกนานกว่าเราจะได้เห็นกัน หรือไม่แน่ว่าทาง Toyota ประเทศไทย อาจจะมีการนำมาใช้เป็นรถรับส่งในเมืองเหมือนอย่างที่เคยทำกับ Toyota Coaster ซึ่งมีการเปิดให้บริการฟรีสำหรับผู้คนที่อยู่บริเวณถนนเส้นบางนาช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนหน้านี้ก็เป็นได้