เป็นที่ทราบกันดีว่า All-New Mitsubishi Triton รุ่นใหม่นั้น ถูกสร้างขึ้นมา โดยมีคู่แข่งรายสำคัญเป็น Next-Gen Ford Ranger ที่พึ่งแย่งชิงตำแหน่งผู้ทำยอดขายอันดับ 3 ในประเทศไทยไปได้หมาดๆเมื่อไม่นานมานี้

และเนื่องจากในวันเปิดตัว หลายคนยังมองว่า นอกจากหน้าตาที่ได้ความเหลี่ยมสันมาพอๆกัน (แต่ส่วนใหญ่มองว่ายังไม่ลงตัวเท่า Ranger ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน) เจ้า Triton รุ่นใหม่ ก็ยังไม่มีอะไรที่ดูดีกว่าคู่แข่งของมันเลยสักนิด

ดังนั้น เราจึงขอมาชี้จุดเด่นสำคัญๆของมันอีกสักหน่อยดีกว่า ว่ามันจะยังสามารถสู้กับ Ford Ranger ได้อยู่มั้ย ในสายตาคุณ

แอร์หลัง บนหลังคา ครั้งแรกในรถกระบะเมืองไทย

อาจจริงอยู่ว่า Ford Ranger (รวมถึงรถกระบะรุ่นอื่นๆ) ที่เป็นร่างตัวถัง 4 ประตู รุ่นกลาง-บน จะมาพร้อมกับระบบแอร์ด้านหลังให้ผู้โดยสารตอนหลังแล้ว แต่เนื่องจากความที่มันยังคงเป็นช่องแอร์แบบติดตั้งหลังช่องเก็บของตรงคอนโซลกลาง ทำให้มันอาจเตี้ยเกินไป และมีโอกาสสูงที่ลมจะเป่าโดนแต่หัวเข่าของผู้โดยสารตอนหลังเท่านั้น

จากจุดดังกล่าว ทำให้ทาง Mitsubishi คิดนอกกรอบออกไปใหม่ โดยการติดตั้งช่องแอร์ไว้ที่หลังคาแทน แถมยังมีแผ่นควบคุมทิศทางลมมาให้ถึง 4 ตำแหน่ง (ซ้าย-ขวา ฝั่งละ 2) ทำให้ผู้โดยสารตอนหลัง สามารถควบคุมทิศทางลม ให้ลงที่ตัว และที่เท้าไปพร้อมๆกันได้ ซึ่งนั่นจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับผู้โดยสารตอนหลังได้อีกมากแน่นอน

ขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select – II อาวุธสำคัญ ที่ยังไม่มีใครเหมือน

หากคุณประหลาดใจว่าทำไมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Mitsubishi ที่มีชื่อเรียกว่า “Super Select” ใน Triton รุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบัน ได้กลายเป็น “Super Select – II” ถึงโดดเด่นกว่าชาวบ้าน ทั้งๆที่รถกระบะคันอื่นๆก็มีเหมือนๆกัน

สาเหตุก็เป็นเพราะ หากเจาะลึกไปที่ลักษณะการทำงานของมันจริงๆ จะพบว่า ในขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของระกระบะคันอื่นๆ จะสามารถปรับรูปแบบการทำงานได้เพียง 3 รูปแบบเท่านั้น นั่นคือ 2H, 4H, และ 4L ซึ่งในฝั่งโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งสองอย่างหลัง เอาจริงๆก็ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนทางฝุ่นเป็นหลักเท่านั้น

แต่สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select ใน Triton ที่มีโหมดการทำงานให้ปรับถึง 4 แบบบ ได้แก่ 2H, 4H, 4HLc, และ 4LLc

หากเป็นระบบ 4H ของมัน แท้จริงแล้วในโหมดนี้ จะสามารถสลับโหมดการถ่ายกำลังจากเครื่องยนต์ ไปยังชุดล้อคู่หน้า กับคู่หลัง ระหว่างแบบ 40/60 หรือ 50/50 ได้ตามสภาพผิวถนนได้ด้วย

ส่งผลให้มันเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทำงานได้คล้ายกับระบบ AWD ของรถยนต์นั่งหลายๆคัน และแน่นอนว่ามันให้ความปลอดภัย รวมถึงยังเหมาะสำหรับการใช้งานบนทางเรียบมากกว่า และเป็นรถกระบะในกลุ่ม Mass เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่ให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อลักษณะนี้ (รถกระบะอีกคันที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ ลักษณะคล้ายกันคือ Ford Ranger Raptor แต่มันจัดอยู่ในกลุ่ม Super Truck)

ส่วนโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-Time ที่จะคอยส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังชุดล้อคู่หน้ากับคู่หลังแบบ 50/50 อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นค่าปกติของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบรถกระบะคันอื่นๆ ที่มีไว้ลุย ของระบบ Super Select และ Super Select – II คือโหมด 4HLc ต่างหาก

โหมดการขับขี่ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีให้เลือกมากกว่า

จุดเด่นสำคัญข้อหนึ่งของ Ford Ranger รุ่น Next Gen ก็คือการที่มันมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ให้ผู้ใช้ได้เลือกปรับกันอย่างหลากหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งโหมดที่คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยได้ใช้ นั่นคือโหมดลากจูง

แต่ใน Triton รุ่นใหม่ กับใส่ขิงลูกใหญ่ ด้วยการให้โหมดการขับขี่สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มามากถึง 7 โหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมด ประหยัด ทางเรียบ ทางกรวด ทางทราย ทางโคลน ทางหิน

และสุดท้ายคือ ทางหิมะ ซึ่งอาจจะฟังดูแปลกๆสักหน่อย แต่โหมดนี้แท้จริงแล้ว คือโหมดที่สามารถใช้ในทางฝนที่เปียกลื่นของบ้านเราได้อย่างลงตัวเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าแต่ละโหมดการขับขี่นั้น ค่อนข้างจะตอบโจทย์ชาวไทยได้ในหลากหลายสถานการณ์มากเลยทีเดียว

AYC ระบบควบคุมอัจฉริยะ เสริมความคมในการเข้าโค้ง

ในปัจจุบัน รถกระบะหลายๆรุ่นที่ขายในบ้านเรา มักมีทั้งระบบป้องกันการลื่นไถล อย่าง Traction Control System และ ระบบรักษาเสถียรภาพตัวรถ Electric Stability Control มาให้อยู่แล้ว ซึ่งหลายคนก็มองว่ามันค่อนข้างจะเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ในบางครั้งมันก็อาจเอาไม่อยู่ เมื่อถึงเวลาที่ไม่คาดคิดจริงๆ ซึ่งอันตรายอย่างมากสำหรับรถกระบะที่จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างสูง เสี่ยงต่อการพลิกคว่ำได้ง่าย

ระบบ AYC ที่ใส่เข้ามา จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับได้อีกมาก เนื่องจากโดยหลักการแล้ว มันมีไว้เพื่อป้องกันอาการหน้าดื้อ หรือหน้าบาน หรือท้ายกวาดออกจากโค้ง ที่มักเกิดขึ้น เมื่อเราขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็วมากเกินไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ระบบ TCS และ ESP ก็จะยังไม่ช่วย

แต่ระบบ AYC ที่ว่านี้ จะคอยควบคุมแรงเหวี่ยงของตัวรถเอาไว้ ทั้งด้วยการควบคุมระบบเบรก หรือกำลังเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้รถของเราบานออกจากโค้งมากเกินไป ช่วยให้รถมีความเฉียบคมมากขึ้น ในการเข้าโค้งทุกครั้งที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และแน่นอนว่ามันเป็นระบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถกระบะประเทศไทยเช่นกัน

ระบบแบบนี้เดิมที่มีในรถเก่ง อย่าง ในค่ายมาสด้าที่มีระบบ GVC Plus ช่วยอำนวยในการขับขี่ สำหรับกระบะ มิตซูบิชิ น่าจะเป็นเจ้าแรก

เครื่องยนต์ 2.4 ลิต รของไทรทัน มีกำลังขับมากวก่า เครื่องยนต์จากฟอร์ด จึงได้เปรียบในรุ่นระดับกลาง

เครื่องยนต์รุ่นกลาง แรงกว่า

อาจจะน่าเสียดายอยู่นิด ที่หากเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 เทอร์โบคู่ ของ Triton รุ่นใหม่ จะยังคงให้แรงม้าเพียง 204 ตัว กับแรงบิดที่ยังไม่ถึง 500 นิวตันเมตร ซึ่งน้อยกว่า รุ่น 2.0 เทอร์โบคู่ ของ Ford Ranger พอประมาณ

ในทางกลับกัน หากคุณมองรุ่นรอง จะได้เครื่องยนต์ 2.4 เทอร์โบเดี่ยว หรือรุ่น Mid Power ของ Triton มันกลับกลายเป็นเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังดีกว่า ขุมกำลัง 2.0 เทอร์โบเดี่ยว ใน Ford Ranger รุ่นกลางๆเสียงอย่างนั้น

หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้ต้องการกระบะรุ่นท็อป และมองเพียงกระบะรุ่นกลาง ฝั่งรถกระบะจาก Mitsubishi Triton รุ่นใหม่ อาจถูกใจคุณมากกว่าในเรื่องความแรง จะแพ้ก็แค่เพียง Nissan Navara เท่านั้น ที่ให้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้า มาเลยแบบรวดเดียว ตั้งแต่รุ่นกลาง-บน ที่จะกินขาดรถทั้งสองรุ่นไปเลย

ระบบความปลอดภัยให้เยอะกว่าในรุ่นรอง

สุดท้ายคือเรื่องระบบความปลอดภัย และระบบความปลอดภัยขั้นสูงอย่างระบบ ADAS ที่หากเป็นรุ่นบน เราคงยังไม่สามารถระบุข้อมูลที่ชัดเจนในฝั่งรถ Mitsubishi Triton ได้ เนื่องจากรุ่นบนของตระกูลจริงๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นรุ่น Athlete ยังไม่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทย

แต่หากเป็นตัวรถรุ่นกลาง หลายๆรุ่น โดยเฉพาะรุ่นตัวถัง 4 ประตู ขับ 2 ยกสูง ซึ่งเป็นรูปแบบตัวถังของรถกระบะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไทย เราก็จะพบว่า ทาง Mitsubishi ค่อนข้างจัดเต็มในส่วนนี้มากกว่าคู่แข่ง เพราะหากเทียบกับตัวรถ Ford Ranger ในรุ่นใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน อยู่ระดับกลางเหมือนกัน

ฝั่ง Triton นั้นมีให้ทั้ง ระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า และช่วยเบรกป้องกันการชน, ถึงลมนิรภัยที่มากกว่า 1 จุด (7 ต่อ 6), ระบบแจ้งเตือนมุมอับ, กล้องมองภาพรอบคัน, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ มาให้เสร็จสรรพ

โดยแม้อันที่จริง ลูกค้าจะสามารถสั่งเลือกออพชันระบบ ADAS มาใส่ Ford Ranger รุ่นกลาง ซึ่งก็คือรุ่น Sport ได้ตอนสั่งจอง แต่คุณก็ต้องเพิ่มเงินซื้ออีกพอประมาณอยู่ดี

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่