การกลับมาของสัญลักษณ์ที่แท้จริงของแบรนด์ Maserati พร้อมการเผยโฉม All-New GranTurismo (กรันทูริสโม) ใหม่ นับเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ ที่เริ่มขึ้นจาก Maserati A6 1500 เมื่อ 75 ปีก่อน
![](https://i0.wp.com/www.ridebuster.com/wp-content/uploads/2022/10/2023-Maserati-GranTurismo-Folgore-001.jpg?resize=770%2C434&ssl=1)
Maserati GranTurismo 2023 รถยนต์สไตล์คูเป้ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของสมรรถนะแบบรถสปอร์ต เข้ากับความสะดวกสบายที่เหมาะกับการเดินทางไกล เปิดตัวพร้อมกันสองเวอร์ชั่น คือ รุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน อันทรงพลังและสุดยอดนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Others Just Travel’ อีกทั้งยังเป็น Maserati รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%
งานดีไซน์ของ GranTurismo นำเสนอความสง่างามและสมรรถนะเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และสามารถจดจำได้ในทันที เส้นสายดูเรียบง่ายแต่ชัดเจน ผสานประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่ดีสุด สะท้อนตัวตนและความพิถีพิถันในการออกแบบ ขณะเดียวกันก็ยังรักษาสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยฝากระโปรงหน้าทรงยาว และตำแหน่งผู้ขับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างล้อทั้ง 4 มาพร้อมหลังคาลาดต่ำสู่ด้านหลัง เน้นให้เห็นความโค้งมนของเสาซีที่มีโลโก้ตรีศูลติดตั้งอยู่
Maserati GranTurismo ผ่านการพัฒนาจาก Maserati Innovation Lab และผลิตที่โรงงานมิราฟิออรี ในตูริน ประเทศอิตาลี สะท้อนถึง ‘ความหรูหราสมรรถนะแบบอิตาเลียน’ อันเป็นแนวคิดที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ Maserati ทุกรุ่น
![](https://i0.wp.com/www.ridebuster.com/wp-content/uploads/2022/10/2023-Maserati-GranTurismo-Folgore-002.jpg?resize=770%2C434&ssl=1)
ขุมพลัง V6 Nettuno เบนซิน 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ติดตั้งในสองรุ่นย่อย คือ Modena ทำได้ 490 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 302 กิโลเมตร/ชั่วโมง กับรุ่น Trofeo ที่ผ่านการอัพเกรดเพิ่มกำลังเป็น 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วน GranTurismo Folgore ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ส่งกำลังผ่านมอเตอร์แม่เหล็กไฟฟ้า 300-kw จำนวน 3 ตัว และใช้พื้นฐานจากเทคโนโลยีมอเตอร์ 800 โวลต์ ของรถแข่งฟอร์มูลาอี (Formula E) ซึ่งถูกเซ็ทให้สามารถสร้างกำลังขับได้ 560 กิโลวัตต์ หรือ 760 แรงม้า (มอเตอร์สามารถสร้างกำลังรวมกันได้สูงสุดจริงๆคือราวๆ 1,200+ แรงม้า แต่ถูกจำกัดไว้เพื่อความทนทาน และความปลอดภัย) พร้อมทำแรงบิดสูงสุดรวมกันมากถึง 1,350 นิวตันเมตร ช่วยให้รถพร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 2.7 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รวมไปถึงนวัตกรรมอันทันสมัยในการติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 92.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง แบบ ‘T-bone’ หรือติดตั้งไว้บริเวณโครงสร้างกลางรถ แทนที่การติดตั้งไว้ใต้เบาะผู้ขับ ส่งผลดีต่อบาลานซ์และจุดศูนย์ถ่วงของรถ กับความสูง 1,353 มม. นับเป็นส่วนหนึ่งของคอนเซ็ปต์ ‘zero compromise’ ตามสไตล์ Maserati
สถาปัตยกรรมเชิงเทคนิคของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ผลลัพธ์ของโปรเจ็กต์ด้านนวัตกรรมในการนำวัสดุที่เบาที่สุดมาใช้ เช่น การใช้อะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม ร่วมกับโลหะเกรดสูง ซึ่งการทำแบบนี้จำเป็นต้องมีการปรับกระบวนการผลิต แลกกับการได้มาซึ่งวัสดุที่เบาและมีประสิทธิภาพชั้นเลิศ
นอกจากนั้นก็ยังมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ Atlantis High อันล้ำสมัย ภายใต้มาตรฐาน canFD ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วสุดถึง 0.002 วินาที มาพร้อมระบบ cyber-security ระดับ 5 และฟีเจอร์ flash-over-the-air และศูนย์กลางในการควบคุมระบบ Vehicle Domain Control Module (VDCM) ประกอบไปด้วยซอฟต์แวร์ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้แก่คนขับ ในการควบคุมระบบที่สำคัญทั้งหมดของรถยนต์แบบ 360° เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ขับในทุกสถานการณ์
ห้องโดยสารติดตั้งนวัตกรรมล้ำสมัย ด้วยระบบมัลติมีเดีย Maserati Intelligent Assistant (MIA), อินโฟเทนเมนท์ใหม่ล่าสุด, หน้าจอ comfort display ที่รวมเอาฟังก์ชั่นหลักของหน้าจอระบบสัมผัสแบบอินเทอร์เฟซ, นาฬิกาดิจิทัล และเทคโนโลยีระบบแสดงผลที่กระจกบังลมแบบ Heads-up Display (สามารถเลือกได้ตามความต้องการ)
นอกจากนี้ ยังมอบประสบการณ์พิเศษแบบ ‘all-round sound experience’ การันตีด้วยสุดยอดชุดเครื่องเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ Maserati รวมทั้งในเวอร์ชั่นรถไฟฟ้า อันเกิดจากฝีมือการพัฒนานวัตกรรมของวิศวกรจาก Maserati Innovation Lab มอบประสบการณ์เสียงสมบูรณ์แบบในระบบ Sonus faber 3D ที่ถูกพัฒนาและออกแบบโดยช่างฝีมือชาวอิตาเลียนที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องเสียงโดยเฉพาะ ด้วยระบบเสียงที่มีให้เลือกสองออปชั่น กับลำโพงมากสุดถึง 19 ตัว และพลังเสียงสามมิติกำลังขับ 1,195 วัตต์ เพื่อมอบความคมชัดและความโดดเด่นของระบบเสียงรอบทุกทิศทางได้อย่างแท้จริง
โดย All-New Maserati Granturismo ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีให้ลูกค้าได้เลือกครบทั้ง 3 รุ่นย่อย โดยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะมีการเปิดเผยตัวเลขดังนี้
- Maserati Granturismo Modena : 14,500,000 บาท
- Maserati Granturismo Trofeo : 16,900,00 บาท
- Maserati Granturismo Folgore : 12,900,000 บาท