ย้อนไปเมื่อต้นปี 2023 ทาง Toyota USA ได้มีการเผยโฉม All-new Toyota Tacoma กระบะร่างคู่ขนานกับ Toyota Hilux Revo ในบ้านเราออกมา และตอนนี้ก็ถึงเวลาของโมเดลคู่ขนาน Toyota Fortuner ที่เรารู้จักดีกันบ้าง กับ “All-New Toyota 4Runner”

Toyota 4Runner MY2025 ที่ทุกท่านเห็นกันอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 6 ของตระกูลไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยหากนับจากเจเนอเรชันที่แรกที่เปิดตัวเมื่อปี 1983 ซึ่งในตอนนั้นมันยังคงใช้พื้นฐานเดียวกันกับรถกระบะตระกูล Hilux ที่ชาวไทยรู้จักกันดีอยู่

จนกระทั่งในปี 1995 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการทำตลาด Toyota 4Runner เจเนอเรชันที่ 3 นับแต่นั้นเจ้ารถอเนกประสงค์พื้นฐานกระบะ หรือที่รัฐบาลไทยให้คำนิยามใหม่แบบเฉพาะตัวว่า PPV ตระกูลนี้ ก็เปลี่ยนไปใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันกับ Toyota Tacoma ซึ่งเป็นรถกระบะที่สร้างขึ้นมาเพื่อชาวอเมริกันโดยเฉพาะ แทน Toyota Hilux ที่อาจจะดูเล็กเกินไป (และติดปัญหาในเรื่องของกฏหมายภาษีบางประการ จนทำให้ไม่สามารถทำตลาดในประเทศดังกล่าวได้)

นั่นจึงเท่ากับว่า เมื่อเทียบขนาดกันตรงๆแล้ว Toyota 4Runner รุ่นใหม่นี้ จะยังคงมาพร้อมกับขนาดตัวที่ใหญ่กว่า Toyota Fortuner ในบ้านเราอยู่ประมาณหนึ่งเช่นเดิม ด้วยตัวเลขด้านยาว 4,950 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,976 มิลลิเมตร, และ ระยะฐานล้อยาว 2,844 มิลลิเมตร

พร้อมกันนี้ตัวรถยังพร้อมลุยด้วยมุมปะทะ 32 องศาทางด้านหน้า กับมุมจาก 24 องศาทางด้านหลัง ตามด้วยความสูงใต้ท้องรถอีก 233 มิลลิเมตร และเนื่องจากมันใช้พื้นฐานเดียวกับ All-New Tacoma นั่นจึงเท่ากับว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม TNGA-F ร่วมกับ Land Cruiser, Land Cruiser Prado, และ Tundra เช่นกันด้วย

ส่วนงานออกแบบตัวรถเอง ก็เรียกได้ว่า ยังคงได้กลิ่นอายแบบเดียวกันกับคู่แฝดอย่าง Toyota Tacoma ด้วยเส้นสายเหลี่ยมสัน บึกบึนตลอดคัน โดยอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องของงานออกแบบกรอบกระจังหน้า และกรอบไฟหน้า กับชุดไฟท้ายเล็กน้อย และทรวดทรงของตัวรถช่วงครึ่งท้ายที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปให้สมกับความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์

แต่นอกนั้นในเรื่องของทรวดทรงซุ้มล้อ และคิ้วซุ้มล้อหน้า-หลัง ล้วนเป็นงานออกแบบเดียวกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดฝากระโปรงหน้า กระจกมองข้าง หรือตำแหน่งติดตั้งไฟ DRL ชิ้นส่วนตกแต่งบางรายการอย่างสน็อคเกิ้ล หรือท่อดักอากาศเวลาขับลุยน้ำลึก ก็ยังใช้ร่วมกันได้กับ Tacoma

และแน่นอนว่านั่นรวมถึงชิ้นส่วนต่างๆภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะในส่วนของชุดคอนโซลหน้าตั้งแต่ จออินโฟเทนเมนท์ขนาด 8-14 นิ้ว จอมาตรวัดขนาด 7-12.3 นิ้ว พวงมาลัย ปุ่มกดควบคุมลูกเล่นต่างๆภายในตัวรถ ที่เน้นความเหลี่ยมสันไม่แพ้ภายนอก ก็ใช้งานออกแบบเดียวกันทั้งหมด

ด้านขุมกำลังตัวรถเอง ทาง Toyota ก็ได้ตัดสินใจถอดเอาทางเลือกเครื่องยนต์ V6 4.0 ลิตร VVT-i รหัส 1GR-FE ทิ้งไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และเปลี่ยนเป็นทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบแบบใหม่ตระกูล i-Force ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพื้นฐาน ที่สามารถปั่นกำลังได้สูงสุด 278 แรงม้า HP และแรงบิดสูงสุด 429 นิวตันเมตร หรือรุ่น i-Force Max ที่จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในแบบ Mild-Hybrid ซึ่งช่วยให้กำลังสูงสุดของขุมกำลังชุดนี้ทำได้รวมกันที่ 326 HP กับแรงบิดสูงสุดอีก 630 นิวตันเมตร

ด้านระบบส่งกำลัง จะมีให้เลือกเพียงแบบเดียวเท่านั้น นั่นคือแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่วนระบบขับเคลื่อนก็มีให้เลือกทั้ง ขับเคลื่อนล้อหลัง, ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-Time (AWD) โดยที่ตัวรถซึ่งมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง จะได้รับการติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปมาให้พร้อมตั้งแต่ออกโรงงาน ส่วนตัวรถรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งสองแบบ ก็จะได้รับการติดตั้งชุดเกียร์ฝาก 2 สปีดมาให้เพิ่ม

และด้วยความเป็นตัวลุย มันจึงมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือ และโหมดการขับขี่ที่เหมาะสำหรับการเข้าป่า ฝ่าทะเลทรายมากมาย ทั้งโหมดการขับขี่แบบ Mud, Dirt, Sand ต่อด้วยระบบ Crawl Control, Low Speed Off Road Control, ระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้า, ระบบช่วยลงทางชัน, และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชัน 3.0 ก็ใส่มาให้ครบครัน

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ณ เวลานี้ ทาง Toyota USA ยังไม่มีการเผยตัวเลขออกมา แต่สื่อในประเทศสหรัฐอเมริกาก็คาดการณ์ว่า All-New 4Runner จะถูกวางขายในประเทศของตนเองด้วยราคาเริ่มต้นที่ราวๆ 1.45 ล้านบาท ไปจนถึงช่วงไม่เกิน 2.2 ล้านบาท แล้วแต่รุ่นย่อย

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: