แม้จะยังไม่มีทีท่าเลยว่า Nissan Z รุ่นใหม่ล่าสุด จะถูกนำมาขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการโดยบริษัทแม่ได้เมื่อไหร่ แต่ในตอนนี้ สำหรับลูกค้าต่างประเทศ ก็ได้เตรียมพร้อมต้อนรับกับการมาของรุ่นย่อยใหม่ที่ใครๆต่างก็ให้ความสนใจกันแล้ว กับ 2024 Nissan Z Nismo

หลังจากที่มีคนพบเห็น 2024 Nissan Z Nismo ร่างโปรโตไทป์ถูกนำไปวิ่งทดสอบบนถนนสาธารณะหลายๆแห่งทั่วโลก ในที่สุดทาง Nissan USA ก็ได้ทำการปล่อยคลิปทีเซอร์ของตัวรถรุ่นนี้ออกมาให้เหล่าสาวกได้ตื่นเต้นกันสักที แถมในคราวนี้ แม้จะเป็นการเผยโฉมรถครั้งแรก แต่มันก็ไม่ใช่คลิปที่เล่นกับแสงเงา ทว่าเป็นการนำเอารถมาวาดลวดลาย โดยแชมป์โลก Formula Drift ถึง 3 สมัย Chris Forsberg

ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะมีแต่ฉากตัดสลับไปมาเพียงสั้นๆ แต่ทุกฉากของคลิปตลอดระยะเวลา 44 วินาที ก็มากพอที่จะทำให้เราเห็นรายละเอียดของแต่งพิเศษของตัวรถที่มากมาย ทั้งภายในห้องโดยสารที่มาพร้อมกับ หน้าจอมาตรวัด TFT ที่มาพร้อมกับอินเตอร์เฟซใหม่เฉพาะรุ่น, ปุ่ม Push Start Engine สีแดงอโนไดซ์, พวงมาลัยใหม่ เพิ่มแถบ Center Mark สีแดงด้านบน และหุ้มก้านด้วยหนังอัลคันทาร่าช่วงครึ่งล่าง, และสุดท้ายคือ เบาะนั่งพิเศษเฉพาะรุ่นที่ดูเบา และแข็งแรงกว่าเดิมจาก Recaro

ฝั่งงานตกแต่งภายนอก ก็เน้นการเสริมภาพลักษณ์ดุดันอย่างเรียบง่ายให้กับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็น กันชนหน้าแบบใหม่ ที่ให้ช่องดักลมกว้างกว่าเดิม และยังเสริมด้วยชายล่างตัดลมที่ยื่นออกจากแนวรถมากขึ้น เช่นเดียวกับชายล่างข้างตัวรถ และกันชนท้ายแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดจะถูกทำสีในจุดปลายสุดให้มีแถบสีแดงใส่เอาไว้ตามเอกลักษณ์ของ Nismo

นอกนั้นก็มีการเสริมความหล่ออีกนิดด้วย ชุดล้อลายใหม่ที่คาดว่าจะมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม และอาจจะมีหน้ากว้างกว่าสเดิมเล็กน้อย เพราะที่ซุ้มล้อทั้ง 4 มีการเสริมคิ้วให้กว้างออกมาจากแนวตัวรถอีกนิดหน่อย, ปั๊มเบรก Nismo สีแดง, สปอยเลอร์หลังแบบตูดเป็น แต่กินพื้นที่อ้อมมาด้านข้างตัวรถมากขึ้น, และ ฝาครอบกระจกมองข้างใหม่ มาพร้อมแถบสีแดง

ด้านรายละเอียดการปรับจูนตัวรถ ทาง Nissan ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลในส่วนนี้ออกมามากนัก แต่หากอิงตามการปรับแต่งรถยนต์โดย Nismo ในครั้งผ่านๆมา ไม่เว้นแม้กระทั่ง Nissan Z Nismo รุ่นก่อนหน้า เจ้าน้องใหม่รุ่นปี 2024 ก็จะต้องได้รับการปรับปรุงทั้งในส่วนของ การไล่เบา, การเซ็ทช่วงล่างใหม่

และอาจมีการเสริมความแข็งแรงตัวถังด้วยตัวค้ำโช้กใหม่อีกเล็กน้อย, ปิดท้ายด้วยการจูนอัพเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตรอีกนิดหน่อย จนมีแรงม้าเพิ่มขึ้น จาก 406 PS ไปอยู่ที่ราวๆ 506 PS และชุดระบบส่งกำลังเองก็จะต้องได้รับการปรับจูนใหม่เช่นกัน ทั้งเกียร์ธรรมดา หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ

ส่วนกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือน หรืออาจจะในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้แล้ว ยังไงก็อดใจรอกันอีกสักครู่จะดีกว่าครับ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่