หลุดภาพ Neta V โฉมใหม่ ปรับรายละเอียดเปลือกนอก ไส้ในคงเดิม

แม้จะพึ่งมีการทำตลาดในประเทศไทยได้ไม่นานแต่ดูเหมือนว่า Neta V รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม ได้ใกล้ถึงเวลาแล้วที่จะได้รับการปรับโฉม หลังมีภาพตัวรถโฉมใหม่ของมันหลุดออกมาในประเทศจีน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

Neta V 2024 หรือชื่อใหม่ Neta Aya ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับตัวรถรุ่นปัจจุบัน และมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเปลือกนอกเพียงบางส่วนในระดับ Minor Change เท่านั้น นั่นคือชุดกันชนหน้าแบบใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับช่องดักลมทางด้านข้างที่ใหญ่ขึ้น แถมยังมีการเปิดช่องดักลมทางด้านข้างเพิ่มเติม และยังเสริมแถบสีเงินไว้ที่ชายล่าง เพื่อเพิ่มความสะดุดตาของตัวรถให้มากขึ้นอีก

และแม้ในส่วนของด้านข้างตัวรถ จะดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากชุดล้อ ที่ยังคงเป็นขอบ 16 นิ้ว แต่มาพร้อมกับลวดลายใหม่ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อเพิ่ม ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนชุดท้ายเองก็มีการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ ให้ดูสะอาดตากว่าเดิม แถมยังเปลี่ยนเป็นแบบ Crosstail Light หรือแบบคาดยาวตลอดแนวฝาท้ายตามสมัยนิยม เช่นเดียวกับชุดกันชนท้ายที่ถูกปรับใหม่ ให้ดูมีความทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเปลี่ยนเปลือกรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ แต่รายละเอียดภายใน และรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆของตัวรถ ดูเหมือนว่าจะยังคงมีมาให้เท่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันระบบการสั่งการระบบการทำงานต่างๆของรถ และกุญแจแบบสมาร์ทคีย์ที่มีระบบ Ride & Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถ

เช่นเดียวกัน ความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion คาดว่าจะยังคงมีขนาดเท่าเดิมที่ 40.7 kWh ชนิด LFP (Lithium-ion Phoshate) เนื่องจากพึ่งมีการอัพเกรดไปได้ไม่นาน และกำลังสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า ก็ยังเท่าเดิมที่ 95 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรและยังให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุดเท่าเดิม 384 กม./ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC

ระยะเวลาในการชาร์จไฟกลับแบบ AC จาก 0-100% ยังคงใช้ระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง และการชาร์จกระแสตรง DC Quick Charge จาก 30-80% ในระยะเวลาประมาณ 30 นาที และยังมีฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ เรียกได้ว่าคงเดิมทั้งหมด

โดยกำหนดการเปิดตัว Neta V รุ่นใหม่ ในชื่อ Neta Aya ณ ประเทศจีนบ้านเกิด คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้ ส่วนการนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอง ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน โดยอาจเป็นช่วงต้นปี 2024 ก็เป็นได้