หลังมีภาพทีสิทธิบัตรหลุดออกมาให้เห็นอยู่พักใหญ่ ในที่สุด 2024 MG3 รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ก็ได้ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการแล้วสักที พร้อมขุมกำลังรูปแบบไฮบริด 194 แรงม้า PS

2024 MG3 แม้จะยังใช้โครงสร้างตัวถังที่คล้ายเดิม แต่เมื่อดูจากตัวเลขสเป็คชีทแล้ว จะพบว่าตัวรถมีทั้งด้านกว้าง และด้านยาวที่มากกว่า ในขณะที่ด้านสูง กลับน้อยลงกว่าเดิม ด้วยตัวเลข 1,797 มิลลิเมตร x 4,113 มิลลิเมตร x 1,502 มิลลิเมตร และยังมีพื้นที่เก็บของสัมภาระทางด้านหลัง ที่สามารถขยายได้มากสุด ถึง 293 ลิตร

 ส่วนงานออกแบบภายนอก เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่ามันมาพร้อมกับงานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจร่วมกับ MG5 มาเยอะพอสมควร ทั้งชุดกันชนหน้าพร้อมกระจังหน้า หรือช่องดักลมขนาดใหญ่ คล้ายปากฉลาม แม้แต่งานออกแบบไฟหน้า และกรอบช่องดักลมด้านข้างเอง ก็ยังใช้เส้นสายที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงเส้นมิติตัวถังทางด้านข้างก็ด้วย แต่ทั้งหมดนั้นก็ช่วยให้ตัวรถดูทันสมัยขึ้น โฉบเฉี่ยวมากกว่ารุ่นพี่โฉมก่อนของมันขึ้นอีกมากเลยทีเดียว

ในด้านงานออกแบบภายในห้องโดยสาร ตัวเบาะนั่ง ยังคงมีการแบ่งสัดส่วนคล้ายเดิมกับรุ่นพี่ เว้นเพียงแค่ชิ้นหนังช่วงรองรับกับแผ่นหลังกับบั้นท้ายผู้นั่งเท่านั้น ที่เปลี่ยนมาใช้แบบพิมพ์ลายตารางสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด และนั่นอาจรวมถึงงานออกแบบของเบาะหลังด้วยที่ดูเหมือนจะยังคงให้สัดส่วนและรูปทรงเบาะนั่งคล้ายเดิม

นอกนั้นในการตกแต่งชิ้นส่วนอื่นๆล้วนถูกปรับใหม่ ให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผงประตู, คอนโซลหน้า พร้อมหน้าจอระบบอินโฟเทนท์เมนท์ขนาดใหญ่ และหน้าจอแสดงผลมาตรวัดแบบ Full-Digital TFT ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนตัวจอมาตรวัดเอง ก็เป็นแบบฟูลดิจิตอล TFT เช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่าที่ 7 นิ้ว ซึ่งอันที่จริง มันคือชุดหน้าจอแสดงผลที่ยกมาจาก MG4 นั่นเอง

และที่น่าสนใจคือคราวนี้มันมาพร้อมกับช่องเก็บของพร้อมที่วางแขนระหว่างเบาะผู้โดยสารตอนหน้าแล้ว และยังมีปุ่มกดสำหรับควบคุมระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมปุ่มควบคุมระบบ Auto Hold, ลูกบิดปรับตำแหน่งเกียร์แบบรถยนต์ไฟฟ้าร่วมค่าย MG4, และถาดวางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมาพร้อมกับระบบไวร์เลสชาร์จ ขณะที่พอร์ทชาร์จไฟ USB ก็ให้มาทั้งหมด 4 ตำแหน่ง รวมถึงยังมีระบบ MG Pilot ADAS ใส่มาให้ครบๆ

ไฮไลท์สำคัญของตัวรถในครั้งนี้ คือการเปลี่ยนมาใช้ขุมกำลังไฮบริด ที่เป็นการผสานกำลังกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 PS เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยวกำลังสูงสุด 136 PS ที่ดึงกระแสไฟมาจากแบตเตอรี่ขนาด 1.83 kWh เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด ซึ่งเมื่อพวกมันทำงานร่วมกันแล้ว จะสามารถให้กำลังรวมกันสูงสุดที่ 194 PS

ด้านโหมดการขับขี่ จะมีให้เลือกปรับทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Eco, Standard, และ Sport ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ก็สามารถทำตัวเลขได้ภายใน 8.0 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดจะถูกจำกัดไว้ที่ราวๆ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้ออมทำอัตราสิ้นเปลืองตามเคลมที่ 4.4 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือราวๆ 22.7 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขใดๆออกมาทั้งสิ้นในตอนนี้ แต่สำหรับการวางจำหน่ายในบ้านเกิด นั่นคือในกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร มันก็ถูกระบุว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ราวๆ 20,000 ปอนด์ หรือราวๆ 909,000 บาท

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่