หลังการเผยสเป็คไทยไปเมื่อปลายเดือนก่อน ในที่สุด 2024 Honda Accord (G11) ก็ได้พร้อมที่จะทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการสักที ด้วยราคาเริ่มต้น 1,529,000 บาท

2024 Honda Accord

Honda Accord 2024 (G11) มาพร้อมกับงานออกแบบภายนอกใหม่หมดทั้งคัน ที่หากเทียบกับรุ่นพี่ของมัน รุ่น G10 แล้ว ทุกท่านจะเห็นได้ว่า รุ่นน้องคันนี้ มีเส้นสายและงานดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย และสะอาดสะอ้านขึ้นมาก

ตั้งแต่ชุดกระจังหน้า ที่เป็นเพียงกรอบ 6 เหลี่ยม ตามฉบับของรถยนต์ยุคใหม่จาก Honda โดยไม่มีแถบโครเมียมใดๆเสริมมาให้, ตัวช่องรับลงทางด้านล่างก็เปลี่ยนให้เป็นแบบแถบยาวเกือบจะตลอดแนวชายล่างกันชน จากเดิมที่เคยออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกับกระจังหน้า, ไฟหน้าก็มีการออกแบบใหม่ให้ดูบางลง แบบเดียวกับ Honda CR-V 2023 พร้อมระบบไฟเลี้ยวแบบ Sequential ในรุ่น RS

แต่ยังมีการเพิ่มเส้นซ้อนเอาไว้ที่แนวฝากระโปรง ซึ่งหากไม่เห็นกับตาบนตัวรถคันจริงๆ คุณอาจไม่สังเกตถึงจุดนี้

2024 Honda Accord

ส่วนงานออกแบบด้านข้างตัวรถเอง ก็ลบความซับซ้อนของเส้นสายที่ลากยาวออกจากแนวซุ้มล้อหน้าทิ้งไป เหลือเพียงเส้นวาดขนานไปกับแนวกรอบประตู ซึ่งจะขนาดเป็นเส้นเดียวกันกับเส้นเชื่อมจากแนวไฟหน้าไปถึงไฟท้ายทางด้านบน

แนวหลังคาแม้จะยังคงดูมีความเป็นรถฟาสท์แบ็คนิดๆตามเดิม แต่กรอบกระจกบานท้ายที่เสา C ก็มีการออกแบบใหม่ให้เส้นขอบทางด้านหลังเป็นแบบตัดตรง ไม่มีการยึกยักด้วยขอบโครเมียมอีกต่อไป

ขณะที่ชุดล้อก็มีการปรับลายใหม่ แต่ยังคงให้ขนาดเท่าเดิม คือ 17 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 225/50 R17 ในรุ่นเริ่มต้น (e:HEV E) และขยับขึ้นเป็น 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 235/45 R18 ในรุ่นกลาง (e:HEV EL) และรุ่นท็อป (e:HEV RS)

และปิดด้วยชุดโคมไฟท้ายที่เปลี่ยนงานออกแบบใหม่ จากโคมไฟ LED แบบตัว C แยกส่วนซ้าย-ขวา ให้กลายเป็นแถบไฟ LED แบบใหม่ ที่จะมีบาร์คาดตรงกลางเพื่อเชื่อมไฟท้ายด้านซ้ายกับด้านขวา ให้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่า

จากการปรับเปลี่ยนเส้นสายตัวรถรอบคันที่ไล่เรียงมา ทาง Honda ระบุว่าเจ้า Accord รุ่นใหม่สเป็คประเทศไทย จะมีเลขมิติตัวรถ ที่ 4,962 มิลลิเมตร ในด้านยาว 1,862 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง และ 1,449 มิลลิเมตร ในด้านสูง กับระยะฐานล้ออีก 2,827-2,728 มิลลิเมตร, ความสูงใต้ท้องรถ 134 มิลลิเมตร, น้ำหนักตัวรถ 1,560-1,606 กิโลกรัม, ถังน้ำมันขนาด 48.5 ลิตร

ซึ่งเกือบทุกค่าก็ไม่ได้หนีไปจากรุ่นพี่เท่าไหร่นัก เว้นเพียงความยาวตัวรถ ที่มากกว่าเดิมถึง 68 มิลลิเมตร

ฝั่งงานออกแบบภายใน แม้จะบอกว่ามันคือรถรุ่นใหม่ แต่ทันทีที่ได้เห็น เรากลับรู้สึกคุ้นตามากกว่าที่คิด เพราะงานออกแบบแผงคอนโซลด้านหน้าของมัน ใช้งานดีไซน์เดียวกันกับ Honda Civic ผสมกับ Honda CR-V โดยเฉพาะเส้นกรอบช่องแอร์แบบเหลี่ยม กับพวงมาลัย เว้นเพียงตารางตรงกลางที่ดูดุดันกว่าเล็กน้อย

ส่วนชุดหน้าจอแสดงผลแบบ Full-Digital ขนาด 10.2 นิ้ว จะมีความแตกต่างจากตัวรถสเป็คอเมริกาเล็กน้อย เพราะสำหรับตัวรถสเป็คไทย ตัวหน้าจอที่ว่านี้ จะถูกติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวออกจากคอนโซล ไม่ได้มีกรอบบังแดดด้านบนมาครอบ เนื่องจากตัวรถสเป็คไทย จะมีการติดตั้งชุดจอ HUD ขนาด 11.5 นิ้วมาด้วย (เฉพาะรุ่น e:HEV EL / e:HEV RS)

ด้านจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ที่ให้มา จะมีขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านทั้งระบบ Android Auto และ Apple CarPlay โดยจะเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้งคู่ และยังได้รับการติดตั้งระบบซอฟท์แวร์เฉพาะจากทาง Google เข้าไปอีก จึงทำให้มันมีฟังก์ชันเสริมทั้ง ระบบ Google Maps, Google Assistant, รวมถึงยังสามารถดาวโหลดแอพพลิเคชันจาก Google Play ได้อีก

และที่เป็นลูกเล่นสำคัญ ก็คือ ปุ่ม Experience Selection Dial ตรงกลางคอนโซล ที่สามารถหมุนเพื่อเลือกและบันทึกฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถปรับเลือกระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง และไฟสร้างบรรยากาศภายในรถยนต์ได้

ความสะดวกสบายเพิ่มเติมภายในห้องโดยสารยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากการใช้วัสดุหนังหุ้มชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารที่ดูดี มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น

ตัวเบาะนั่งฝั่งผู้ขับยังมาพร้อมกับฟังก์ชันในการปรับตำแหน่งได้มากถึง 8 ทิศทาง ปรับระบบดันหลังได้อีก 4 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง ขณะที่ฝั่งผู้โดยสารจะปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง

และตัวรถยังมีระบบแอร์แบบแยกฝั่งซ้าย-ขวา, หลังคามูนรูฟ, แท่น Wireless Charge, ลำโพง 12 ตำแหน่งจาก Bose, ช่องเชื่อมต่อ USB type C 4 ตำแหน่ง, Multi-color Ambient Light โดยสามารถเลือกโหมดการเปลี่ยนสีของไฟได้ 10 เฉดสี

และมีระบบจดจำรูปแบบการใช้งาน ตามความชอบของผู้ขับได้ถึง 8 ผู้ใช้ (เลือกจดจำค่าได้ทั้ง ตำแหน่งท่านั่งของเบาะคู่หน้า, โหมดการแสดงผล, โหมดการขับขี่, อุณหภูมิระบบปรับอากาศเริ่มต้น และอื่นๆ), ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) พร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

กับ ฟังก์ชันการ​อัปเดตซอฟต์แวร์ Over-The-Air (OTA) ซึ่งไม่ได้อัพเดทแค่เฉพาะระบบอินโฟเทนเมนท์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอัพเดทกล่องประมวลผลตัวรถ ช่วยให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ หากทาง Honda มีการปรับปรุงระบบประมวลของตัวรถใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย

และจากตัวถังที่ยาวขึ้น จึงทำให้ผู้โดยสารตอนหลัง มีพื้นที่วางขา (Legs Room) เพิ่มขึ้นอีก 10 มิลลิเมตร โดยพื้นที่เก็บสัมภาระทางด้านหลังก็ยังคงเยอะสุดในคลาสตามเดิม ด้วยตัวเลข 473 ลิตร

ด้านขุมกำลังของ Accord รุ่นใหม่เจเนอเรชันที่ 11 เวอร์ชันประเทศไทย จะมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ โดยทาง Honda ได้มีการตัดทางเลือกเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า PS ทิ้งไป

และเหลือไว้เพียง เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร VTEC ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จนสามารถทำกำลังแรงม้าสูงสุดได้มากขึ้น จาก 145 PS ที่ 6,200 รอบ/นาที เป็น 147 PS ที่ 6,100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดเองก็เพิ่มขึ้น 175 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที เป็น 182 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที

พร้อมพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน จึงทำให้มันสามารถสร้างแรงบิดสูงสุดได้มากขึ้น จาก 315 นิวตันเมตร เป็น 335 นิวตันเมตร แต่แรงม้าสูงสุดยังคงเท่าเดิมที่ 184 PS

ผลลัพธ์ท้ายสุด ก็คือเมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ ก็จะได้แรงบิดสุทธิมากขึ้นจาก 315 นิวตันเมตร เป็น 335 นิวตันเมตร (อิงตามแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้ามาเลย) ส่วนแรงม้าสูงสุดกลับลดลงจาก 215 PS เหลือ 207 PS ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากการปรับเซ็ทระบบการทำงานร่วมกันใหม่ของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ยังคงให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจด้วยตัวเลข 25 กม./ลิตร ตามเคลม (เดิมในรุ่นก่อนหน้า เคลม 24.4 กิโลเมตร/ลิตร)

ฝั่งระบบช่วงล่าง ยังคงเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ โดยด้านหน้า เป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ทำงานร่วมกันกับระบบเบรกแบบดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ และมีระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold มาให้เสร็จสรรพ

อีกลูกเล่นสำคัญในด้านระบบขับเคลื่อนที่มีการปรับเปลี่ยน ก็คือโหมดการขับขี่ต่างๆ ที่มีความชาญฉลาด และสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

ทั้งในส่วนการทำงานของโหมดระบบ e:HEV ทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode), โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) รวมถึงถึง ระบบเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ (Regeneration) ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่

ส่วนโหมดการขับขี่เอง ก็ยังมีการเพิ่มโหมดการขับขี่แบบ Individual (Individual Mode) ที่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย ระบบ Adaptive cruise control และสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ เข้ามา

นอกนั้นโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) และ โหมดการขับขี่แบบประหยัด (Econ Mode) ก็ยังคงมีให้เช่นเดิม

และยังมีสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า โดยมีการเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรก

โดยเป็นโหมดที่จะชาร์จแบตเตอรี่ ในขณะที่รถวิ่งด้วยน้ำมันโดยการวิ่ง 1 นาทีที่ความเร็ว 100 กม./ชม. จะสามารถชาร์จไฟเพิ่ม เพื่อสามารถขับเคลื่อนด้วยระบบ EV เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแรงขับเคลื่อนของ EV ในช่วงความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.ซึ่งเหมาะแก่การวิ่งในย่านชุมชน เพื่อยืดระยะของการวิ่งด้วย EV ให้ยาวนานขึ้น

สุดท้ายคือในส่วนของระบบความปลอดภัย Honda Sensing ที่ได้รับการอัพเกรดทั้งฮาร์ดแวร์ เช่นกล้องจับวัตถุด้านหน้า ที่สามารถรับภาพได้ในมุมกว้างมากขึ้น และไกลขึ้น รวมถึงระบบซอฟท์แวร์ที่เพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆเข้ามามากมาย ทั้ง

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) โดยระบบยังสามารถปรับลักษณะการเร่งความเร็วได้ตามโหมด ACC ที่เลือก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด ใหม่
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
  • ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
  • ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • ใหม่ ระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS)
  • ถุงลม 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า ม่านถุงลมด้านข้าง และ ใหม่ ถุงลมหัวเข่าคู่หน้า
  • เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS)
  • ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)
  • ใหม่ ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
  • ผู้โดยสารด้านหน้า และ ใหม่ ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลัง
  • ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร(ANC) และ ใหม่ รุ่น e:HEV RS มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้ไม่ขึ้นมาบดบังระบบนำทางที่ใช้อยู่ โดยเฉพาะในรุ่น EL และ RS ที่จะมีระบบแสดงสัญลักษณ์บอกทางแบบ Turn By Turn ที่หน้าจอ HUD เสริมให้ด้วย

และยังมีระบบเสริมอีกหลายรายการ เช่น

  1. ใหม่ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า ที่ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาพร้อมเทคโนโลยี Digital Key โดย ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
  2. ใหม่ Light Collision Notification การแจ้งเตือนการชนเบา/ไม่รุนแรง ช่วยแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
  3. ใหม่ Navigation Data Wipe การล้างข้อมูลการนำทาง โดยสามารถล้างข้อมูลส่วนตัวที่ถูกบันทึกไว้ในรถ เช่น ข้อมูลเสียง ข้อมูลระบบนำทาง หรือ รีเซ็ตการตั้งค่าให้กลับไปเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
  4. ใหม่ Recall notification การแจ้งเตือนและเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาคุณภาพจากลูกค้า
  5. ใหม่ Remote Immobilizer ระบบกุญแจนิรภัย IMMOBILIZER พร้อมสัญญาณกันขโมย ช่วยป้องกันรถถูกโจรกรรม และในกรณีที่รถถูกโจรกรรม สามารถระงับการสตาร์ตเครื่องยนต์และการเคลื่อนที่ของรถผ่านทางแอปพลิเคชันได้ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
  6. ใหม่ Digital Key กุญแจอัจฉริยะ ช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถสั่งการต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Honda CONNECT บนสมาร์ตโฟนได้ เช่น ใช้สมาร์ตโฟนเป็นเสมือนกุญแจรถ โดยลูกค้าสามารถสั่งงานปลดล็อกประตูหรือสตาร์ตเครื่องยนต์ผ่านฟีเจอร์นี้ได้ แจ้งเตือนลูกค้าในกรณีลืมล็อกประตูและกำลังเดินออกห่างจากตัวรถ เป็นต้น

โดย Honda Accord e:HEV ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น e:HEV E : ราคา1,529,000 บาท
  • รุ่น e:HEV EL : ราคา 1,669,000 บาท
  • รุ่น e:HEV RS : ราคา 1,799,000 บาท

และมีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวแพลทินัม (มุก), สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก), สีเทาเมทิเออรอยด์
(เมทัลลิก), และสีดำคริสตัล (มุก) พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

พร้อมกันนี้ Honda ยังรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน และทีมงานที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ด้าน e:HEV (e:HEV Expert) จากเครือข่ายศูนย์บริการฮอนด้าที่ได้มาตรฐานและครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

รวมถึง ยังมอบโปรโมชั่น พิเศษ ดังนี้

  • ฟรี ประกันภัย ชั้น 1
  • แพ็คเกจ เช็ค ระยะ ค่าแรง และ ค่าอะไหล่ นาน 5 ปี หรีอ 100,000 กิโลเมตร
  • รับประกันแบตเตอร์รี่ไฮบริด 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
  • ฮอนด้า อัลติเมื แคร์ และ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี หรือ 140,000 ก.ม.
แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่