ผ่านมาแล้วครึ่งอายุตัวถัง นับตั้งแต่การปรับโฉมครั้งใหญ่ช่วงปี 2019 ล่าสุด BMW X5 และ BMW X6 ก็ได้ถูกเผยโฉมปี 2024 ร่างปรับใหม่แบบไมเนอร์เชนจ์ออกมา ซึ่งการปรับแต่ละอย่างนั้นค่อนข้างน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

เริ่มจากภายนอก BMW X5 และ BMW X6 รุ่นปี 2024 นั้น จะได้รับการปรับเส้นสาย และสัดส่วนต่างๆรอบคันใหม่ เพื่อให้ตัวรถดูมีความแหลมคม และโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับชุดกันชนหน้า ที่มีงานออกแบบดูสลับซับซ้อนมากกว่าเดิม ส่วนตัวโคมไฟหน้า ก็มีการปรับขนาดใหม่ให้เล็กลงเล็กน้อย และเปลี่ยนลายแถบไฟ DRL ด้านในใหม่ ให้ตรงยุคกับเหล่าพี่น้องร่วมแบรนด์

เช่นเดียวกับชุดไฟท้ายของ X5 ที่ถูกปรับขนาดกรอบโคมใหม่ และรายละเอียดภายในใหม่ แบบปลายหางลูกศรเช่นกัน และสุดท้ายคือ เมื่อกลับมาที่ในส่วนกระจังหน้า คราวนี้ ตัว X5 ได้มีออพชันซ่อนไฟเรืองแสงเอาไว้ด้านใน ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่จะเคยมีให้เลือกเฉพาะในรุ่น X6 เท่านั้น ส่วนรายละเอียดการตกแต่งอื่นๆยิบย่อย ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามรุ่นย่อยเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดล้อ

แต่ในขณะที่ชิ้นส่วนเปลือกนอก เหมือนกับการต้องเล่นเกมจับผิด ทว่าในส่วนภายใน มันกลับมีความต่างที่ชัดเจน ในส่วนของชุดหน้าจอแสดงผล ที่เปลี่ยนมาใช้จอโค้งต่อกันระหว่างจอมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว กับจอระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 14.9 นิ้ว

แต่ถึงแม้ทาง BMW จะภูมิใจนำเสนอเรื่องระบบสั่งการด้วยเสียง และการใช้สัญญาณมือมากแค่ไหน ทว่าที่คอนโซลกลางของตัวรถ ก็ยังมีแป้นหมุน iDrive ติดตั้งเอาไว้ เพื่อให้ผู้ขับที่ไม่สะดวกใจ(ในการพึ่งระบบสั่งการด้วยเสียง และสัญญาณมือ) ได้ใช้งานมันอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคันเกียร์ กลับเป็นสิ่งที่ถูกถอดทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยแป้นโยก-กดตำแหน่งเกียร์ที่ดูเรียบง่าย และสะอาดตากว่าเดิมแทน นอกนั้นในส่วนปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือปุ่มปรับโหมดการทำงานของระบบขับเคลื่อนต่างๆก็ยังคงมีหน้าตาคล้ายเดิมทั้งหมด

ในส่วนเครื่องยนต์ จะเป็นการปรับปรุงใหม่ แบบ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ เสริมอัตราเร่งในตอนแซงด้วยระบบ Mild-Hybrid 48v โดยหยิบยืมมาจาก BMW X7 2023 ที่ปรับโฉมไปก่อนหน้า นั่นจึงทำให้ทั้ง X5 sDrive40i และ X5 xDrive40i กับ X6 xDrive40i มีการเคลมแรงม้ามากขึ้นกว่าเดิมอีก 40 PS เป็น 380 PS และมีแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 540 นิวตันเมตร ช่วยให้การเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลดลงเหลือ 5.2 วินาที ในรุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive

ขณะเดียวกัน สำหรับตัวรถรุ่นที่ใช้ขุมกำลังดีเซล รหัส xDrive30d เอง ก็จะได้รับการติดตั้งระบบ Mild-Hybrid เช่นกัน และส่งผลให้มันสามารถทำกำลังสูงสุดได้มากขึ้น เป็น 298 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 670 นิวตันเมตร ช่วยทำให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ได้ภายในเวลา 6.1 วินาที

ด้านตัวรถรุ่น Plug-In Hybrid ที่ยังคงมีให้เลือกเฉพาะ X5 xDrive50e เท่านั้น (X6 ยังไม่มีรุ่น PHEV) ก็จะยังคงใช้เครื่องยนต์ลูกเดียวกับ X5 รุ่น Mild-Hybrid แต่ตัวมอเตอร์ซึ่งต่อตรงกับชุดเกียร์ 8 สปีดของมัน จะมีแรงม้าที่มากขึ้นจาก 117 PS เป็น 197 PS ส่วนแรงบิดสูงสุดก็เพิ่มเป็น 449 นิวตันเมตร

นั่นจึงทำให้ตัวเลขพละกำลังสุทธิของตัวรถรุ่นนี้ เขยิบขึ้นมาเป็น 490 PS และแรงบิดสูงสุด ก็ขยับมาอยู่ที่ 699 นิวตันเมตร ช่วยให้ตัวรถสามารถเรียกอัตราเร่ง จาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที เท่านั้น

เรื่องระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนของ X5 xDrive50e PHEV ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในคราวนี้มันยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลูกใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 24 kWh เป็น 29.5 kWh และมีปริมาณไฟให้ใช้งานจริงได้มากถึง 25.7 kWh ส่งผลให้มันสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกล 94-110 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

ส่วนความสามารถในการชาร์จไฟกลับ ก็สามารถทำได้ดีขึ้น เพราะจากเดิมที่รองรับกระแสไฟชาร์จกลับแรงสุด เพียง 3.7 kW ตอนนี้ มันก็รองรับแรงดันไฟได้มากขึ้น เป็น 7.4 kW

ด้านรุ่นบนสุด อย่าง X5 M60i และ X6 M60i แม้จะไม่ได้มีการเคลมตัวเลขแรงม้าและแรงบิดเพิ่มเติม แต่ทางค่ายก็ระบุว่ามันมาพร้อมกับเครื่องยนต์ลูกใหม่ รหัส S68 จับคู่กับระบบเสริมแรงในตอนแซงแบบ Mild-Hybrid ที่ยืมมาจากพี่ใหญ่ X7 รุ่นใหม่ล่าสุดเช่นกัน

นั่นจึงทำให้แม้มันจะยังคงมีแรงม้าเท่าเดิม คือ 530 PS กับแรงบิดสูงสุดเท่าเดิม ที่ 750 นิวตันเมตร แต่ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองก็ดีขึ้นอีกนิด เป็น 8.69 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่น X5 M60i และ 8.77 ในรุ่น X6 M60i

ฝั่งระบบกันสะเทือน ในทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมกับระบบโช้กไฟฟ้า เป็นออพชันพื้นฐานเหมือนกันทั้งหมด แต่หากเป็นรุ่น M60i จะได้ระบบกันสะเทือน Adaptive M suspension ที่มีความดุดันในการใช้งานมากกว่า เช่นเดียวกับระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ Integral Active Steering ที่เป็นออพชันติดรถมาให้ตั้งแต่ออกโรงงานในส่วนรุ่นท็อป ขณะที่รุ่นย่อยรองลงไป จะเป็นออพชันที่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม

ด้านระบบความปลอดภัยส่วนใหญ่ยังคงเดิม เว้นแต่ในคราวนี้ ทางค่ายได้มีการปรับปรุงรายละเอียดการทำงานของพวกมันใหม่ ให้มีความฉลาดและฉับไวมากยิ่งขึ้น เช่นระบบ Front-collision warning system ที่สามารถตรวจจับวัตถุต่างๆบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะคนปั่นจักรยาน

นอกจากนั้นยังมีระบบเสริมที่ลูกค้าสามารถซื้อแยกได้เพิ่มเติม อย่าง ระบบ Automatic Speed Limit Assist, Exit warning, Active Navigation, Route speed control, Traffic light recognition (อาจไม่ครอบคลุมในไทย), Emergency Stop Assistant, Lane Change Assistant, Merging Assistant, Reversing Assist Camera และ Reversing Assistant

ส่วนการเปิดตัวในไทย อาจจะต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันอีกครั้ง ว่าจะมีรุ่นใด ออพชันใดถูกนำมาวางจำหน่ายในบ้านเราบ้าง รวมถึงกำหนดการเปิดตัวที่แท้จริง ซึ่งคาดว่าอย่างเร็วที่สุด อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ ในงาน Motor Show 2023

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: