นับตั้งแต่ Mitsubishi ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทใหญ่กว่าอย่าง Renault ใครหลายคนก็รอชมรถที่เป็นโมเดลทำร่วมกันมาโดยตลอด และ 2023 Mitsubishi ASX ที่ทุกท่านกำลังเห็นกันอยู่ในตอนนี้ ก็คือคันแรกที่มาก่อนใครเพื่อน

2023 Mitsubishi ASX ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 2 ของตระกูล หากไม่นับ Mitsubishi RVR ตามชื่อที่ใช้การทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น และประเทศในแถบเอเชียบางแห่ง นับตั้งแต่ที่ทางค่ายได้เปิดตัวให้ชาวโลกได้รู้จักกับมันเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010

แต่ถึงแม้ตัวรถจะได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าไปพอสมควร ทว่าด้วยอายุตัวถังที่ถูกลากขายพร้อมปรับโฉมแบบ Facelift ไปถึง 4 ครั้ง รวมเป็น 5 โฉม จึงทำให้ทาง Mitsubishi มองว่ามันถึงเวลาสักที ที่เจ้าเอสยูวีขนาดเล็กรุ่นนี้ จะได้เวลาพลิกโฉมครั้งใหญ่

แต่จุดที่น่าสนใจของมันกลับไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะในการปรับโฉมใหญ่ครั้งนี้ เป็นการผลัดรุ่นในช่วงเวลาที่ Mitsubishi ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Renault ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเจ้า ASX รุ่นใหม่ จึงได้รับอานิสงค์การเปลี่ยนแปลงนี้ไปเต็มๆ

อย่างที่เราได้เกริ่นเอาไว้ในข้างต้น ว่าการปรับโฉมใหญ่ของ ASX ในครั้งนี้ ทาง Renault มีส่วนร่วมในการพัฒนาตัวรถด้วย ทว่าในความเป็นจริงแล้ว จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะมันคือการเอารถที่แบรนด์ฝรั่งเศสมีขายอยู่แล้วอย่าง Renault Captur มาเปลี่ยนรายละเอียดภายนอกภายในใหม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

กล่าวก็คือ การปรับโฉมของ Mitsubishi ASX 2023 ในครั้งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับ Renault Captur โดยมีจุดแตกต่างกันแค่เพียงชุดกระจังหน้า, แถบตัวอักษรบนฝาท้าย, โลโก้แบรนด์ที่ฝาท้าย, โลโก้รุ่นที่ฝาท้าย, และภายในก็แค่เปลี่ยนโลโก้แบรนด์ตรงพวงมาลัยก็เท่านั้น

ใช่ครับ จุดแตกต่างของมันมีแค่นี้จริงๆ เรียกได้ว่ามันคือการเอา Renault Captur มาเปลี่ยนโลโก้ใหม่เท่านั้นนั่นเอง ถ้ามองด้วยสายตาจากภายนอกและภายใน เพราะนอกนั้นก็ล้วนมีหน้าตาและรายละเอียดเหมือนกันทั้งหมด ตั้งแต่งานตกแต่งรอบคัน ยันชุดล้อ

ด้านขุมกำลังของเจ้า ASX รุ่นล่าสุด ก็มีให้เลือกถึง 5 รูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ตามฉบับของรถต้นแบบที่ถูกมันเปลี่ยนโลโก้ นั่นคือ

  • เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 91 PS
  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Mild Hybrid กำลังสูงสุด 140 PS สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Mild Hybrid กำลังสูงสุด 158 PS สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด
  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแบบ Full-Hybrid ให้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 143 PS
  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแบบ Plug-In Hybrid ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 10.5 kWh รองรับระยะทางในการวิ่งสูงสุด 49 กิโลเมตร ให้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 159 PS

ฝั่งงานตกแต่งภายใน ก็ยังคงมีออพชันให้ลูกค้าได้เลือกซื้อหลายรูปแบบเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชุดหน้าจอมาตรวัด ที่มีทั้ง จอฟูลดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการแสดงผลระบบนำทาง 3D Navigation ในตัว, จอฟูลดิจิตอลขนาด 7.0 นิ้ว, และท้ายสุดคือจอขนาด 4.2 นิ้ว สำหรับการแสดงผลพื้นฐาน ติดตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเกจวัดรอบและความเร็วแบบเข็มกวาดดั้งเดิม

ตัวจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์เอง ก็มีให้เลือก 2 แบบ ตามรุ่นย่อย ทั้งจอทัชสกรีนแนวนอนขนาด 7 นิ้ว หรือ จอแนวตั้งขนาด 9.3 นิ้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นจอตัวไหน มันก็ต่างรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านสัญญาณบลูทูธ, ระบบ Apple CarPlay และ Android Auto

ส่วนความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารเพิ่มเติมอื่นๆ ก็มีทั้ง เบาะนั่งแถวหลัง ที่สามารถเลื่อนหน้า-หลังได้ แถมยังสามารถพับราบได้ เพื่อเพิ่มพื้้นที่เก็บสัมภาระทางด้านหลัง จาก 332 ลิตร เป็น 410 ลิตร

ระบบความปลอดภัยที่ติดรถมา ก็จัดว่าทันสมัน ด้วยระบบ ADAS ที่ประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนการชนทางด้านหลัง, ระบบช่วยเบรกกรณีฉุกเฉิน, ระบบป้องกันการใช้คันเร่งผิดวิธี, ระบบตรวจจับวัตถุและยานพาหนะรอบคัน ไม่เว้นแม้กระทั่งรถจักรยานที่กำลังเคลื่อนที่ผ่าน, ระบบรักษาช่องทางการจราจร, ระบบแจ้งเตือนป้ายสัญญาณจราจร, ระบบแจ้งเตือนมุมอับ, ระบบแจ้งเตือนความเร็ว, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ, และระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน

ไม่เพียงเท่านั้น ในรุ่นท็อปสุดยังมีระบบ MI-PILOT ซึ่งจะรวมเอาการทำงานของระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน กับระบบรักษาช่องทางการจราจรเอาไว้ด้วยกัน เพื่อปรับความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเส้นทาง และข้อกฏหมายการควบคุมความเร็ว ณ จุดนั้นๆ ผ่านสัญญาณดาวเทียมอีกด้วย

ด้านราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Mitsubishi ASX 2023 ณ ขณะนี้ ทางค่ายยังไม่มีการเผยตัวเลขใดๆออกมาทั้งสิ้น เนื่องจากกำหนดการขายจริงของมัน คือช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า

ข้อมูลจาก Motor1

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่