Honda Accord เจเนอเรชันที่ 11 ได้ถูกเผยโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกา และตอนนี้มันก็ได้ถูกประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการแล้ว โดยในรุ่นเริ่มต้น จะแพงกว่าเดิมเพียงไม่ถึง 30,000 บาท

โดย Honda Accord 2023 ที่วางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีรุ่นย่อยให้ลูกค้าได้เลือกซื้อทั้งหมด 6 เกรดด้วยกัน ซึ่งหากเป็นตัวรถรุ่นเริ่มต้นรหัส LX มันก็จะมีการเปิดราคาเอาไว้ที่ 28,390 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 962,000 บาท รวมค่าขนส่ง เท่านั้น ซึ่งนั่นถือว่าแพงกว่าตัวรถโฉมก่อนที่มีรหัส LX เช่นกันอยู่ 775 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 26,000 บาท

และจุดเปลี่ยนหลักๆที่เกิดขึ้นกับ Accord รุ่นใหม่ล่าสุด ตัวเริ่มต้นนี้ เมื่อเทียบกับโฉมก่อน ก็จะเริ่มจากการที่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบ ความจุ 1.5 ลิตร ของมัน จะได้รับการปรับจูนใหม่ ทั้งในส่วนของตัวหัวฉีด, ระบบบำบัดไอเสีย, และอื่นๆ จนสามารถทำแรงม้าได้ 195 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 260 นิวตันเมตร

ซึ่งแม้มองผ่านๆ ตัวเลขพละกำลังสูงสุดอาจจะดีขึ้น แต่จุดที่ทาง Honda ตั้งใจเอาไว้จริงๆ ก็คืออยากให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถทำงานได้อย่างเรียบเนียน และนุ่มนวลมากกว่าเดิม แม้แต่การทำงานของระบบเกียร์ CVT เองก็ด้วย

นอกนั้นในส่วนออพชันจุดขายอื่นๆที่ติดรถรุ่นเริ่มต้นมา ก็จะมีทั้ง ชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 7 นิ้ว แบบทัชสกรีนที่รองรับทั้งการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Apple CarPlay และ Android Auto, เสริมด้วยชุดจอมาตรวัดขนาด 10.2 นิ้ว, ระบบไฟส่องสว่างรอบคัน Full LED และชุดล้ออัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว

ส่วนรุ่นสูงขึ้นมาอย่างรหัส EX ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นรุ่นที่มีสเป็คใกล้เคียงกับตัวเริ่มต้นในไทย ก็จะมีราคาวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาที่ 30,705 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,040,000 บาท รวมค่าขนส่ง

ซึ่งสาเหตุที่เราระบุว่ามันมีโอกาสที่จะกลายเป็นรุ่นตัวอย่างสำหรับตัวรถรุ่นเริ่มต้นในไทย ก็เพราะว่ามันมีออพชันต่างๆที่เพิ่มขึ้นมาจนใกล้เคียงกันกับ Accord EL รุ่นปัจจุบันที่ยังขายในบ้านเรา ณ ตอนนี้พอสมควร ทั้งเบาะนั่งคนขับพร้อมระบบปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง และมีระบบฮีทเตอร์ในตัวสำหรับเบาะคู่หน้า, หลังคามูนรูฟสั่งการแบบ One-Touch, ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน, และชุดลำโพง 8 ตำแหน่ง

ขณะที่อีก 4 รุ่นถัดไป ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับขุมกำลังไฮบริด e:HEV ที่เป็นการผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า แล้วให้กำลังรวมกันสูงสุด 207 PS กับแรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร เหมือนกันทั้งหมด และแน่นอนว่ามันก็ถูกปรับจูนการทำงานร่วมกับระบบเกียร์ E-CVT มาใหม่ เพื่อความนุ่มนวลและเรียบเนียนในการใช้งานที่ดีขึ้นเช่นกัน

โดยในส่วนรุ่นย่อยล่างสุดของรถ Accord ที่ได้ใช้ขุมกำลังไฮบริด ก็จะเริ่มด้วยรุ่น Sport ซึ่งมีราคาขายที่ 32,990 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 1,117,000 บาท และนอกจากขุมกำลังที่เปลี่ยนไป มันยังมาพร้อมกับพวงมาลัยกับคันเกียร์หุ้มหนัง, ชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 19 นิ้วสีดำพร้อมปัดเงาที่ก้าน, ชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่สุดเท่าที่ค่ายเคยใช้มากับรถของตนเอง นั่นคือขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Apple CarPlay กับ Android Auto ได้เช่นกัน แต่ที่เหนือกว่านั้น คือมันเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายนั่นเอง

ด้านรุ่น Sport-L ก็จะได้ออพชันเพิ่มเติมจากรุ่น Sport ขึ้นมาอีก นั่นคือ เบาะนั่งผู้ขับพร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง, ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารก็มีระบบปรับไฟฟ้ามาให้แล้ว, ส่วนงานตกแต่งภายนอก ก็จะถูกเพิ่มความโดดเด่นอีกนิดด้วยการติดตั้งชุดดิฟฟิวเซอร์ไว้ด้านท้าย พร้อมตั้งราคาวางจำหน่ายเอาไว้ที่ 34,970 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 1,186,000 บาท

ฝั่งรุ่นเน้นหรู EX-L ก็จะมีออพชันแทบทุกอย่างเหมือนกับรุ่น EX แต่เสริมลูกเล่นอย่างระบบเซนเซอร์ช่วยจอดหน้าหลัง, เบาะหนัง, ชุดล้อสีเงินขอบ 17 นิ้ว และตั้งราคาขายไว้ที่ 34,635 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1,175,000 บาท

สุดท้ายคือรุ่น Touring ที่เป็นรุ่นบนสุด และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของ Goolgle ฝังในหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์เสร็จสรรพ และนั่นจะทำให้ผู้โดยสารกับผู้ขับสามารถเปิดใช้งานระบบช่วยเหลืออย่าง Google Assistant, Google Maps, กับ Google Play ได้

และยังมีระบบบันทึกกับวางแผนข้อมูลการเดินทาง ไม่จำกัดจำนวนครั้งฟรีอีก 3 ปี, ลำโพงจาก Bose อีก 12 จุด, ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย, ระบบไว-ไฟ ฮ็อทสป็อท แบบ 5G, เบาะนั่งตอนหลังพร้อมระบบฮีทเตอร์ ส่วนเบาะนั่งคู่หน้า นอกจากจะมีระบบฮีทเตอร์แล้วยังมีระบบทำความเย็นให้ด้วย ซึ่งตัวรถรุ่นนี้จะสนนราคาที่ 38,985 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1,322,000 บาท

แน่นอนว่าในส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายต่างๆของมัน อาจไม่สามารถนำมาเทียบกับรถ Honda Accord ที่ขายในประเทศไทยของเราได้โดยตรง แต่เมื่อดูจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนของมัน และออพชันต่างๆของรถแต่ละรุ่นย่อยแล้ว ก็น่าคิดอยู่ไม่น้อยว่าเมื่อตัวรถรุ่นใหม่รุ่นนี้ถูกนำมาเผยโฉมในประเทศไทยของเราแล้ว มันจะแพงขึ้นจากเดิมในอัตราเท่าๆกัน และมีลูกเล่นที่น่าสนใจ ครบครันเหล่านี้มาให้ด้วยมากน้อยแค่ไหนกัน ?

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่