สนามแข่งขัน Nurburgring Nordschleife นับเป็นหนึ่งในโจทย์สุดท้าทายที่เหล่าผู้ผลิตต้องเอารถมาลองทุบสถิติกันดูสักครั้ง แต่ใครจะคิดกันว่า Xiaomi SU7 Ultra จะสามารถทุบเวลาแซงเจ้าถิ่น Porsche Taycan Turbo GT ขึ้นมาได้
ก่อนอื่น Xiaomi SU7 เคยถูกครหาว่า อาจจะเป็นรถซีดานไฟฟ้าบ้าพลังที่ระบบเบรกเอาไม่อยู่ เพราะครั้งหนึ่งเคยมีคลิปไวรัลบนโลกโซเชียลที่เผยให้เห็นเหตุการณ์ขณะอินฟลูฯรายหนึ่งกำลังทดสอบรถรุ่นนี้ในสนามแข่งที่ประเทศจีน แล้วเกิดเบรกไม่อยู่จนรถหมุนเสียอาการแล้วพุ่งเข้ากำแพงเข้าสนามอย่างจัง
ซึ่งโชคดีที่อินฟลูคนดังกล่าวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก เพราะอย่างน้อยโครงสร้างรถก็ยังแข็งแรงดี โดยเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ได้มีใครพุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาดของคนขับโดยตรงด้วย เพราะในคลิปจะเห็นกันได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าตัวจะพยายามกดเบรกตั้งแต่เนิ่นๆ และรถมันเบรกไม่อยู่จริงๆ
จนกระทั่งภายหลังหลายคนมาวิเคราะห์กันว่า หากไม่ใช่เรื่องของการบาลานซ์อัตราส่วนน้ำหนักเบรกที่ยังไม่ลงตัว ก็อาจจะเป็นเรื่องของขนาดผ้าเบรกที่แม้จะเป็นของ Brembo แต่ก็เล็กเกินไปอยู่ดี เมื่อเทียบกับความแรงและน้ำหนักตัวรถ
และทางค่ายก็ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมอีกว่า แม้รถจะมีพละกำลังมาหาศาล ระดับ 1,500+ แรงม้า แต่ระบบเบรกที่ให้มา ก็ยังถูกออกแบบมาให้เหมาะสมแค่เฉพาะการใช้งานบนท้องถนนเท่านั้น คือคล้ายกับจะบอกกลายๆว่าถ้าจะเอาลงสนามแข่ง ลูกค้าก็ควรจะเปลี่ยนผ้าเบรกให้รับกับการใช้งานด้วย
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าหากตัวรถถูกเซ็ทอัพมาอย่างถูกต้อง สำหรับการใช้งานจริงๆ ว่ามันจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ทาง Xiaomi จึงส่งรถ SU7 Ultra มาลงหวดทำเวลา ณ สนามแข่ง Nurburgring Nordschleife ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “นรกสีเขียว” ที่ผู้ผลิตทั่วโลกต้องส่งรถของพวกเขามาซิ่งที่นี่สักครั้งให้ได้ หากต้องการจะอวดสมรรถนะรถของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาขาซิ่งทั่วโลก
ซึ่งผลก็คือ มันสามารถกดเวลาได้ดีที่สุดด้วยตัวเลข 7 นาที กับอีก 4.957 วินาที ซึ่งนั่นถือว่าเร็วกว่าสถิติเวลา 7 นาที กับอีก 7.550 วินาที ของเจ้าถิ่น Porsche Taycan Turbo GT เสียอีก
โดยตัวรถที่ถูกนำมาใช้ในการทุบสถติเวลาครั้งนี้ คือตัวรถรุ่นท็อปสุด ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ขับเคลื่อน 3 ตัว แบ่งกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า 1 ตัว และล้อคู่หลังอีก 2 ตัว ให้กำลังรวมสูงสุด 1,527 แรงม้า
ทำให้แม้มันจะมีน้ำหนักตัวราวๆ 2.4 ตัน จากแบตเตอรี่ขนาด 93.7 kWh สำหรับรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จ ที่ 620 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC แต่รถก็ยังสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 1.98 วินาที และ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 5.86 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 333 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในขณะที่คู่เทียบของมัน มีพละกำลังสูงสุดจากมอเตอร์ 3 ตัวเช่นกัน ด้วยตัวเลขที่ 1,092 แรงม้า และสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 2.3 วินาที และ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 6.4 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 277 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวรถรุ่นท็อป พร้อมยัดออพชันจัดเต็ม สามารถทำเวลาบน “นรกสีเขียว” ได้ดีจนตลอดรอดฝั่ง คือการที่มันมาพร้อมกับชุด สปอยเลอร์หน้า สปอยเลอร์หลังคาร์บอน และดิฟฟิวเซอร์ ช่วยเสริมแรงกด ชุดระบบกันสะเทือน Bilstein Evo T1 และระบบเบรกจาก AP Racing ซึ่งใช้คาลิปเปอร์เบรก 6 พอทด้านหน้า ทำงานร่วมกับจานเบรกคาร์บอนเซรามิค ขนาด 430 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังใช้คาลิปเปอร์เบรก 1 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกคาร์บอนเซรามิคเช่นกัน แต่เป็นขนาด 410 มิลลิเมตร
ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันไม่ได้ใช้ระบบเบรกของ Brembo เหมือนตัวรถรุ่นรองๆ ที่ลูกค้าเอาไปแหกกันบ่อยๆเพราะไม่รู้จักประมาณตน แม้หากมองอีกมุมพวกเขาก็ยังควรที่จะปรับปรุงให้เบรกมันดีกว่านี้อยู่ดี เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าทุกระดับอยู่ดีก็ตาม
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่รถยนต์ตระกูล Xiaomi SU7 สามารถทำได้ เพราะก่อนหน้านี้ทางค่ายก็เคยส่งตัวรถร่างโปรโตไทป์ที่ใส่ของจัดเต็มแบบตัวแข่ง ทั้งชุดบอดี้พาร์มคาร์บอนไล่เบารอบคัน แถมยังตีโป่ง พร้อมใส่สปอยเลอร์รีดอากาศด้านหน้า และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่เสริมแรงกดเต็มพิกัด และยังมีการเซ็ทอัพช่วงล่าง ระบบเบรก ยางให้สมฐานะอีกหลายจุดด้วยกัน มาหวดในสนามแห่งนี้มาแล้ว
และเวลาที่มันทำได้ก็ถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจ ด้วยตัวเลขเวลา 6 นาที กับอีก 46.874 วินาที นั่นเอง