หลังจากเปิด Pre-Sales ที่จีนได้ไม่นานสำหรับ Volvo XC70 ล่าสุดได้เปิดไลน์การประกอบที่โรงงานในเมืองไถโจว ประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

Volvo XC70 เอสยูวีที่ยกงานดีไซน์มาจากรุ่นพี่ EX90 แต่ย่อส่วนให้ตัวรถดูสมส่วนดูดีตั้งแต่กระจังหน้าทรงทึบติดตราโลโก้ Iron Mark แบบเปิด-ปิดเพื่อระบายความร้อน พร้อมขอบฝากระโปรงหน้าที่หนากว่าเดิมไฟหน้า Matrix LED ใหม่ดีไซน์เอกลักษณ์ Thor Hammer ส่องสว่างและสบายตาด้วยไฟที่ปรับการทำงาน
ที่เปิดประตูดีไซน์ซ่อนรูปเนียนกลมกลืนกับตัวถังรถแบบฟรัช (Flush) เรียบสนิทไปกับตัวถัง มีหลังคาพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่ที่เคลือบด้วยสารป้องกันรังสีอินฟาเรดจึงช่วยสะท้อนความร้อน และป้องกันรังสียูวี ไฟท้าย LED รูปตัวซี ดีไซน์เฉพาะตัวถูกจัดวางแบบ 3 เซกเม็นต์เรียบไปกับตัวรถให้สไตล์ที่โดดเด่น และล้อมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 19-21 นิ้ว
มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าขยายระยะทางแบบปลั๊กอินไฮบริดหรือ EREV หรือ Extended Range Electric Vehicle (Extended-Range Plug-in Hybrid) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการขับเคลื่อนแต่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบนั้นใช้ในการปั่นไฟแต่วิ่งอีวีเพียวๆไกลสุด 200 กิโลเมตร ด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร ให้กำลัง 163 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด 3DHT100
มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัวทำหน้าที่ต่างกันโดยตัวแรก P1 ให้กำลัง 82 แรงม้า ทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์ จ่ายแรงบิด และแปลงพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า ตัวที่ 2 P2 146 แรงม้า อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ขับเคลื่อนล้อหน้าและทำหน้าที่แปลงพลังงานจลน์ และตัวที่ 3 P4 212 แรงม้า ติดตั้งแยกกันบนเพลาหลัง ขับเคลื่อนล้อหลังโดยเฉพาะ มอเตอร์ P2 และ P4 ทำงานร่วมกันเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 2 ขนาดเริ่มที่ขนาด 21.22 kWh แบบ LFP จาก CATL วิ่งในโหมดอีวี 100 กิโลเมตร (CLTC) และอีกรุ่นกับขนาดแบต 39.63 kWh แบบ LFP จาก CATL วิ่งในโหมดอีวีกว่า 200 กิโลเมตร (CLTC) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.28 วินาที
สามารถรองรับทุกรูปแบบด้วยมุม Approach Angle หรือมุมเงย 18 องศา และมุม Departure angle หรือมุมจาก 21 องศา ทำให้ผ่านอุปสรรคได้ง่ายๆทุกสถานีที่ขับมีระบบ ช่วยขับขี่อัจฉริยะ NPA ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Volvo ในปัจจุบันรองรับการขับขี่บนทางหลวงและทางด่วนในเมืองตั้งแต่ 0-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความปลอดภัยด้วยออปชัน Advanced Driver Assist System (ADAS) ช่วยให้กล้องและเซนเซอร์รอบตัวรถตรวจจับวัตถุได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และฟังก์ชันเพื่อช่วยในการขับขี่อื่นๆเบื่องต้นจำหน่าย Pre-Sales ในวันที่ 27 สิงหาคมหลังจากนั้นเปิดตัวและราคาอย่างเป็นทางการกันยายนนี