นับตั้งแต่การประกาศล้มดีลการควบรวมกิจการกับ Honda ทาง Nissan ก็เหมือนกับเรือที่ต้องฝ่ามรสุมการเงินเพียงคนเดียว และยังไร้ใครมาช่วยพยุง จนกระทั่งมีข่าวลือจากสื่อในญี่ปุ่นระบุว่าคนๆนั้นอาจเป็นทาง Toyota

จากข้อมูลโดย Mainichi  ระบุว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทาง Toyota ได้มีการติดต่อไปยัง Nissan เพื่อมอบข้อเสนอการสนับสนุนด้านธุรกิจให้บริษัทร่วมชาติสามารถดำเนินงานต่อไปได้

ที่น่าสนใจก็คือ โดยปกติแล้ว Toyota มักไม่ค่อยพลาดโอกาส หรือกะจังหวะในการเข้าช่วยเหลือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ผิดนัก เพราะในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นี่คือบริษัทที่เข้าไปมีส่วนร่วมถือหุ้นกับบริษัทผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นอย่างพอเหมาะพอเจาะอยู่เสมอ

เริ่มจาก การเข้าถือหุ้น Daihatsu เพียง 0.22% เมื่อประมาณ 60 ปีก่อน แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 16.8% ในปี 1995 ตามด้วย 33.4% ในปี 1998 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 51.2% ในปี 2016 จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ Toyota ก็ได้กลายเป็นเจ้าของบริษัทร่วมชาติรายนี้อย่างเต็มตัว

นอกจากนี้ Toyota ยังไปมีเอี่ยวในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นอื่นๆอีก เช่น การถือหุ้น 20% ของ Subaru ซึ่งมากพอที่จะทำให้พวกเขามีสิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆของแบรนด์ดาวลูกไก่ และยังถือหุ้นของ Suzuki กับ Mazda แบรนด์ละ 5% จนทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนารถร่วมกันมาแล้วหลายโมเดล

ซึ่งจะเห็นได้ว่า Toyota เป็นผู้ผลิตที่ถนัดในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทอื่นๆในฐานะผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว แถมยังสนับสนุนบริษัทคู่ค้าได้เป็นอย่างดีเสมอมาด้วย

ทั้งนี้ ทางสื่อต้นทางไม่ได้มีการระบุว่า “ข้อเสนอ” ที่ว่านี้ คือข้อเสนอการสนับสนุนในรูปแบบใด และทาง Nissan กับ Toyota ก็ยังไม่ได้มีการออกมาเปิดเผย หรือยืนยันใดๆเกี่ยวกับข้อมูลนี้ แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็นับว่ามันอาจจะเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่น่าสนใจมากในปีนี้

เพราะมันจะทำให้ Toyota ยิ่งกลายเป็นผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในตลาดมากขึ้นไปอีก และยังไงทาง Nissan ก็ต้องการไปต่อให้ได้อยู่แล้ว โดยที่บอสใหญ่คนปัจจุบันอย่าง Ivan Espinosa ก็ยอมรับว่าพวกเขายังคงต้องการคนมาช่วยสนับสนุนบริษัทอยู่ และตอนนี้สิ่งที่บริษัททำได้ ก็มีแค่เพียงการแก้ปัญหาในระยะสั้นให้ได้ก่อนเท่านั้น

“สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้คือการเปิดกว้าง, และเราก็พยายามพิจารณาทุกโอกาสจากบริษัทคู่ค้าที่จะช่วยยกระดับความร่วมมือที่มีคุณค่ากับทาง Nissan” Espinosa กล่าว ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ ในงานแถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ การพยายามลดค่าใช้จ่ายของบริษัทให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นการปลดพนักงานกว่า 20,000 ราย ทั่วโลก, ลดต้นทุนการทำงานต่อชั่วโมงลง 20%, ลดความซับซ้อนในการบริหารออก 70%, ตัดโปรเจ็กท์พัฒนาแพลตฟอร์มรถที่ไม่จำเป็นออกไป และยังมีแผนที่จะปิดโรงงาน 7 จาก 17 แห่งทั่วโลกอีกด้วย