หลังปล่อยทีเซอร์ ปล่อยข้อมูลรถ และคอยอัพเดทข่าวคราวตัวรถอยู่ต่อเนื่องนานนับเดือน ในที่สุด GWM ก็ได้ออกมาประกาศกำหนดการเปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ TANK 500 Diesel ในประเทศไทยแล้ว ว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์นับจากนี้

GWM ประกาศเตรียมเปิดตัวและราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ TANK 500 DIESEL ภายในวันที่ 24 กรกฏาคมนี้ หลังจากที่มีการโปรยข้อมูลรถให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ว่ามันจะมาพร้อมกับหัวใจใหม่ คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผัน (VGT) เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด แบบเดียวกับ TANK 300 DIESEL เป็นหัวใจไและไฮไลท์เด็ดประจำตัว
โดยแม้ตัวรถจะมีน้ำหนักมากขึ้นกว่า TANK 300 พอสมควร แต่มันจะยังคงให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร เท่าเดิม และทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ซึ่งเน้นการรักษาย่านกำลังแรงบิดให้ต่อเนื่อง และช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้มันรองรับการเดินทางไกลด้วยระยะทางขับขี่รวมมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้ง
และจะมีรูปแบบระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น หรือขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time สริมด้วยระบบล็อกเฟืองด้านหน้าและหลังควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถในการลุยเส้นทางทุรกันดาร ตามรูปแบบการใช้งานของลูกค้าอีกด้วย

นอกจากนี้ ตัวรถยังโดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอก-ภายในระดับพรีเมียม ทั้ง ห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะหนัง Nappa และไฟ Ambient Light เพิ่มบรรยากาศพรีเมียมทุกมิติ มาพร้อมหน้าจอสัมผัสกลางขนาด 12.3 นิ้ว และ 14.6 นิ้ว รองรับ Smart Dual Screen Interaction เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่เชื่อมโยงอย่างลงตัว รวมถึงกล้องแสดงภาพรอบคัน 540 องศา (กล้อง 360 องศาพร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ)
เสริมด้วยฟังก์ชันระดับวีไอพี เช่น Welcome Seat พร้อมระบบนวด, ระบบเสียงรอบทิศจากลำโพง 12 ตำแหน่ง, พื้นที่เก็บสัมภาระจุใจ 795 ลิตร และระบบกรองอากาศ N95 รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับ L2+ ที่อัดแน่น
และยังมีโครงสร้างตัวถังแบบ Cage-Type ที่แข็งแกร่ง ทนทานต่อการชนและแรงกระแทก พร้อมรับทุกความท้าทายในการเดินทางอย่างมั่นใจ ด้วยการใช้เหล็กกล้าแรงดึงสูงพิเศษ (Ultra-High Strength Steel) ที่มีค่าความเค้นสูงสุด (Yield Strength) เกิน 1,500 MPa เพื่อลดการยุบตัวของหลังคาในกรณีเกิดแรงกระแทก และโครงสร้างหลังคายังมีความแข็งแกร่งต่อแรงบิด (Torsional Stiffness) ได้สูงถึง 23,076 นิวตันเมตร และความแข็งแรงต่อการดัดงอ (Bending Stiffness) 5,602 นิวตันเมตร
โดยมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.4T PRO, 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน โดยเฉพาะรุ่น ULTRA และ ULTRA 4WD ที่มาพร้อมสีตกแต่งพิเศษ “Black Warrior” สุดเข้ม ให้ลูกค้าที่ต้องการรถหน้าตาสุขุมนุ่มลึกให้เลือกซื้ออีก
และหากอิงตามวิธีการทำตลาดรถยนต์ GWM TANK 300 Diesel ก็มีความเป็นไปได้ที่ TANK 500 Diesel ก็จะถูกวางจำหน่ายด้วยราคาที่ถูกกว่า GWM TANK 500 HEV ลงมาอยู่ในระดับไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยที่ตัวรถรุ่นไฮบริด ก็จะเหลือเพียงแต่รุ่น Ultra เท่านั้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ในฐานะตัวท็อปสุดของตระกูล ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปในวันพฤหัสบดีหน้า ว่ามันจะเป็นเช่นดังที่เราคาดการณ์กันไว้หรือไม่ ?