Home » คืนรถให้ไฟแนนซ์ … ใครบอกไม่เสียอะไร
ข่าวสารยานยนต์

คืนรถให้ไฟแนนซ์ … ใครบอกไม่เสียอะไร

ตั้งแต่ เศรษฐกิจ เริ่มอยู่ในระวางที่สู้ดีนัก ตั้งแต่ผ่านยุคโควิดออกมา เราเริ่มเห็นความเข้มข้นของการหาปล่อยสินเชื่อ และล่าสุดมายัง การที่ผู้เช่าซื้อรถยนต์รายเดิมตัดสินใจทำสิ่งที่เรียกว่า “คืนรถให้ไฟแนนซ์” กันมากมาย

หนทาง “คืนรถให้ไฟแนนซ์” ไม่รู้ใครเป็นคนริเริ่ม แต่เมื่อมีคนหนึ่งทำ ก็จะมีหลายคนตาม จากที่ได้เห้นในโซเชี่ยล จนคนเริ่มเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกทั้งที่เข้าใจผิด เป็นไวรัสทางความคิด ทั้งที่ทำผิดแบบไม่รู้ตัว จนอาจจะเสียมากกว่าได้เสียอีก

สิ่งที่คนเข้าใจในกระบวนการ และเรื่องราวการคืนรถให้ไฟแนนซ์ คือการที่เราผ่อนรถที่เราใช้ไม่ไหว และยังไม่ปรากฏการผิดนักชำระหาก เราคิดว่าไม่ประสงค์จะผ่อนต่อ คุณสามารถติดต่อไฟแนนซ์ให้มารับรถของคุณไปได้เลย เพื่อนำไปดำเนินการต่อใดๆ โดยที่เราไม่ต้องเสียส่วนต่าง ซึ่งเกิดจากค่าเสื่อมประโยชน์ ที่เกิดขึ้น

เรื่องนี่้ มีจุดเริ่มต้นมาจาก เพจ สำนักอัยการสูงสุด ที่ออกมา เผย คำพิพากษาฎีกาที่ 1203/2565 ที่มีการอ้างอิงเหตุการณ์ว่า โจทก์ (ผู้ฟ้อง) ได้ฟ้องลูกค้า กรณีนำรถมาคืน ว่ามีพฤติกรรมผิดสัญญา หรือไม่ จากการบอกเลิกสัญญา ซึ่งทำให้โจทก์ เสียผลประโยชน์ ต้องชดเชยค่าขาดราคา ตามข้อกำหนดในสัญญา

โดยจากคำพิพากษา ใน ฎีกาดังกล่าว ได้พิพากษา โดยอ้างสิทธิผู้เช่าซื้อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573  “ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของ โดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง” ใจความสำคัญของมาตรานี้คือ ผู้เช่ามีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเมื่อใดก็ได้ โดยจะต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนให้กับผู้ให้เช่าซื้อ และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบนั้น 

โดยในกรณีดังกล่าว ผู้เช่าซื้อ ได้ทำ หนังสือแสดงเจตนาคืนรถ และมีการระบุว่า ถ้าทางไฟแนนซ์ นำรถคันนั้นขายทอดตลาด แล้วเกิดส่วนต่างจากยินดีชดใช้ค่าส่วนต่าง หนือในภาษาทางกฏหมายเรียกว่า “ค่าขาดราคา”

จนเป็นที่มาของ ความเข้าใจคนจำนวนมาก ว่า คืนรถไฟแนนซ์ = บอกเลิกสัญญา และ ไม่เสียส่วนต่างราคา

คืนได้เลย บอกเลิกสัญญา หนี้หมดจบไป สบายตัวสบายใจ ทั้งที่เป็นความเข้าใจผิดมหันต์

ข้อเท็จจริง มีการแชร์ออกมาเรื่อยๆ ตามสื่อสังคมออนไลน์ และ ด้วยความที่เราคนทั่วไหป ไม่ใช่นักกฏหมาย จึงเข้าใจว่า มันจะเป็นเช่นนั้น

ทั้งที่เราต่างรู้ว่า ในความเป็นจริง แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะอยู่ๆ เอารถไปคืนไฟแนนซ์ แล้วจะไม่มีผลตามมา ไฟแนนซืใจดี เอารถไปดำเนินการขายทอดตลาดให้ แล้วกล่าวสวัสดีขอบคุณลูกค้าที่ยอมจำนนกับเรา เคยมาเป็นหนี้กับเรา

ในข้อเท็จจริง ตามบริบทฏีกาที่สำนักอัยการสูงสุด นำมาเป็นตัวอย่างนั้น จุดประสงค์เพื่อต้องการให้คนเข้าใจกฏหมายว่า มีสิทธิที่จำทำได้ จนปัจจุบันกลายเป็นความเข้าใจผิด

คนส่วนใหญ่คิดว่า ผ่อนไม่ไหว ไปจอดคืนแล้วจบ ทั้งที่ความจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้น ไม่

ที่จริงแล้ว ฏีกาเดียวไม่สามารถเป็นบรรทุดฐานทางสังคมได้ และ คดีที่แชรืในโซเชี่ยลสีฟ้า เป็นคดีตั้งแต่ 2565

ล่าสุด ในกรณีนี้เช่นนี้ ศาลก็เปลี่ยนคำพิพากษาใหม่ โดยศาลฏีกาได้เผแพร่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567 เป็นคดีระหว่าง ธนาคาร กับ ผู้เช่าซื้อ ผลปรากฏว่า ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบ ค่าขาดราคาจากกรณีดังกล่าว

แสดงให้เห็นว่า ในความจริงแล้ว การคืนรถให้ไฟแนนซ์ ไม่ใช่ทางออก เหมือนที่อาจจะมีทนาย หรือ เพื่อนคุณมาบอกว่า คืนได้เลยไม่เสียส่วนต่างใดๆ

ดังนั้น เข้าใจให้ถูกต้อง การบอกเลิกสัญญา ไม่เท่ากับ การหมดหนี้ หรือ จบหนี้ แต่เรายังต้องรับผิดชอบหนี้นั้น ต่อในรูปแบบอื่น นั่นคือ “ค่าขาดราคา” ที่ทางไฟแนนซ์จะเป็นคนเคาะออกมาว่า ท้ายสุดหลังขาทอดตลาด แล้วมีส่วนต่างหนี้ที่เราต้องรับผิดชอบหนี้อีกเท่าไร

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมขอยกตัวอย่าง ดังนี้

  • รถใหม่ป้ายแดงราคา 500,000 บาท
  • ดาวน์ไป 100,000 บาท
  • เหลือผ่อนอีก 400,000 บ
  • ผ่อนมาแล้ว 100,000 บาท คุณไม่ไหวเลยตัดสินใจคืนไฟแนนซ์
  • ไฟแนนซ์ไปขายทอดตลาดได้ 200,000 บาท
  • มีส่วนต่าง อีก 100,000 บาท ส่วนนี้เรายังต้องรับผิดชอบ

การไม่ต้องรับผิดชอบ ค่าขาดราคา จะเกิดได้ใน 2 กรณี คือ

  • ขายทอดตลาดได้ครอบคลุมมูลค่าหนี้ (แต่ส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น)
  • ศาลชี้ว่า ไม่มีหนี้อยู่จริง = ไม่ต้องรับภาระหนี้ / หมดนี้ เหมือน ฏีกา ตัวแรก

แต่ สำคัญที่สุด ต้องมีประวัติผ่อนชำระดีมาก่อน และไม่มียอดค้างชำระใดๆ หากเป็นแบบนั้น คินรถไปแล้ว เข้า 2 เงื่อนไข ถือว่าหมดนี้

ซึ่งจากทั้ง 2 ความเป็นไปได้ จะพบว่ามีโอกาสน้อยมาก ที่ คืนรถ = ปลดหนี้

แต่คุ๊อาจลองสำรวจได้ โดยดูจากยอดหนี้ที่เหลือ กับราคาขายทอดตลาดว่า มันพอจะเป็นไปได้ที่จะหักลบกลบกันไหม และอย่าลืม!! ราคาที่อยู่ในท้องตลาด ไม่ใช่ราคาตั้งผ่านกระบวนการลานประมูล ซึ่งเป็นระบบที่ไฟแนนซ์ใช้ในการขายทอดตลาด ซึ่งราคาจะต่ำหว่าที่เห็น 30-40% ครับ

นอกจากนี้​, สิ่งที่หลายคนไม่รู้ หรือไม่คิดตามคือ ประเทศไทยมีระบบเครดิตบูโร หรือสถานะประวัติการผ่อนชำระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธนาคาร สถาบันการเงิน ใช้เป็นเครื่องมือในการขึ้นสถานะลูกหนี้ได้ เป็นระบบที่ศาลไม่เคยนำมาใช้ในการตัดสินชั้นศาล

เวลาเราผ่อนชำระปกติ สถานะ จะเป็นรหัสปกติ แต่เมื่อเราเริ่มผิดชำระ จะแสดงในสถานบูโรอย่างชัดเจน และ ในกรณีไปขอเครดิตที่อื่นสามารถเห็นได้ และมีประวัติแบบนี้ติดตัวไปอีก 3 ปี นับตั้งแต่ชำระเสร็จสิ้น

และแม้ คุณไม่ต้องจ่ายส่วนต่างสถานทางบัญชีอาจเป็นการ “ปิดแบบไม่ปกติ ” ซึ่งจะแสดงในระบบ ทำให้ผู้ให้กู้รายต่อๆไป จะไม่กล้าให้กู้ หรือเสนอบริการให้กับเรา

พูดให้ง่ายไปอีก เสียเครดิตจนกว่าจะปลดล็อค หรือ อีก 3 ปีเป็นอย่างน้อย

ดังนั้น การคืนรถให้ไฟแนนซ์ ฟังดูเป็นทางออกปัญหาที่เรียบง่าย และทำถูกกฏมาย แต่ความจริงมัน คือไวรัสของความเข้าใจผิดของสังคม ที่คิดว่า บอกเลิกสัญญา เท่ากับไม่ต้องชดใช้หนี้

และหลายคนกำลังส่งต่อ ความเข้าใจ ความเชื่อผิดๆ นี้ผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ทั้งที่ข้อเท็จจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.