จากความจริงที่ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เติบโตดีอย่างที่คิด ทำให้ Mercedes-Benz เอง ก็ต้องปรับแผนการทำตลาดใหม่ โดยในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขาจะมีการเปิดตัวรถยนต์โมเดลใหม่เกือบ 40 รุ่น และเกินครึ่งกลับยังคงเป็นรถที่มาพร้อมขุมกำลังสันดาปภายในอยู่

จากข้อมูลล่าสุดโดยทาง Mercedes-Benz ระบุว่าด้วยสภาวะเศรษฐกิจซบเซา รวมถึงกรณีที่รถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาไม่สามารถทำยอดขายได้ดีตามที่ตั้งเป้าไว้ และมีรายได้หัวตัวลงถึง 39% ในปี 2024 แถมทางค่ายยังคาดการณ์อีกว่า มันอาจจะแย่ลงได้อีกในปี 2025
เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ในการบริหารงาน และการหมุนเงิน ทางบริษัทจึงตั้งเป้าว่าจะลดต้นทุนการผลิตให้ได้ 10% ภายในปี 2027 และจะลดลงให้มากขึ้นอีกในปี 2030
อย่างไรก็ดี ทาง Mercedes จะยังคงเดินหน้าสายพานการผลิตภายในโรงงานที่เยอรมัน ซึ่งมีต้นทุนในการดำเนินงานสูงต่อไป (เนื่องจากเป็นโรงงานในบ้านเกิด) แต่จะมีการย้ายสายพานการผลิตของรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่งออกไป เพื่อผลิตในโรงงานที่ฮังการี ซึ่งมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำกว่ากันถึง 70% แทน และจะโฟกัสไปที่การทำรถเพื่อผลิตและส่งไปวางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีน เพื่อแก้ปัญหาการขึ้นภาษีในอนาคต
ในขณะเดียวกัน ทาง Merceds ก็จะทำการเปิดตัวรถโมเดลใหม่เกือบ 40 โมเดลด้วยกัน โดยหลังจากที่ทางแบรนด์เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ปี 2030 ล่าสุดกลับกลายเป็นว่าพวกเขาตั้งเป้าที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่เพียง 17 รุ่นเท่านั้น ภายในปี 2027 และจะเปิดตัวรถที่มาพร้อมกับขุมกำลังสันดาปถึง 19 รุ่นแทน โดยพวกมันทั้งหมด ก็ล้วนจะถูกวางจำหน่ายต่อไปจนถึงทศวรรษหน้าด้วย
และแม้ก่อนหน้านี้ ทาง Mercedes จะภูมิใจนักหนา กับงานออกแบบรถยนต์ตระกูล EQ ด้วยเส้นสายตัวถังแบบ Recurve แต่เพราะความกลม และโค้งมนมากเกินไปของมัน ทำให้ลูกค้าหลายคนเลือกจะเบือนหน้าหนี และทำให้ตอนนี้ทาง Mercedes เลือกที่จะปรับแผนการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ๆของพวกเขาให้มีความใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปมากขึ้นแทน แม้ว่ามันจะใช้แพลตฟอร์มในการสร้างคนละแบบกันเลยก็ตาม
โดยภายในปีนี้ ทางค่าย จะทำการเปิดตัวรถ Mercedes-Benz CLA รุ่นใหม่ ซึ่งจะมีขุมกำลังให้ลูกค้าได้เลือกทั้งแบบพลังงานไฟฟ้าล้วน และรุ่นที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นขุมกำลังหลัก แต่ไม่ว่าจะขุมกำลังไหนราคาของพวกมันก็จะไม่หนีกันมากนัก และจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มเดียวกัน
ส่วนรถโมเดลอื่นๆที่จะตามมาในลำดับถัดๆไป ก็มีทั้ง GLC รุ่นใหม่ และ C-Class ที่ต่างจะเป็นรุ่นปรับโฉมใหญ่ทั้งคู่ และในฝั่ง Mercedes-Benz S-Class เอง ก็จะได้รับการปรับโฉมใหม่ในระดับ Minor Change เช่นกัน โดยมันจะมีทางเลือกขุมกำลังตั้งแต่ 4-8 สูบ ดังเดิม เช่นเดียวกับขุมกำลัง V12 ที่จะยังคงสงวนไว้ให้ในรุ่นท็อปสุด (Maybach) เช่นกัน แม้ว่าพวกมันจะต้องเจอกับมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 7 ที่เข้มงวดสุดๆก็ตาม