ในอดีตไม่นานนัก นโยบายการเตรียม “แบนขุมกำลังสันดาปภายใน” ของสหภาพยุโรป ครั้งหนึ่งอาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และผู้ผลิตหลายรายก็ต่างน้อมรับเงื่อนไข แต่พอเวลาผ่านไป ความเป็นจริงกลับบ่งบอกว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ทำให้สำเร็จได้ยากกว่าที่คิดมาก

เพราะหากมองจากความกกระตือรือร้นของลูกค้า ที่เริ่มให้ความสนใจในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าน้อยลง, รัฐบาลก็ส่งเสริมการสร้างระบบสาธารณูปโภคสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าน้อยเกินไป, และในฝั่งผู้ผลิตเอง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าจะสามารถทำให้รถยนต์ไฟฟ้า มีความพร้อม มีคุณสมบัติที่โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้รถทุกคนได้อย่างแท้จริง
ทำให้ตอนนี้ ผู้ผลิตต่างๆเริ่มมองว่ากำหนดการ “แบนยานพาหนะที่ใช้ขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน” ของสหภาพยุโรป เริ่มไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยหนึ่งในตัวตั้งตัวตีการคัดค้านครั้งนี้ ก็คือ Mercedse-Benz ที่นาย Ola Källenius ซึ่งเป็นทั้ง CEO ของบริษัท และยังดำรงตำแหน่ง ประธานสหพันธ์ยานยนต์ของชาติยุโรป เลือกที่จะส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสหภาพยุโรป เพื่อบอกพวกเขาว่า มาตรการนี้ควรถูกยกเลิก หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความเป็นจริงกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น และหากยังดึงดันที่จะใช้ต่อไป ก็ไม่ต่างอะไรจากการ “ขับรถด้วยความเร็วสูงเข้าหากำแพง” หรือ มีแต่เสียกับเสีย

นอกจากนี้ ผู้บริหารใหญ่ลูกครึ่งเยอรมัน-สวีเดน ยังระบุอีกว่า การมองว่ารถขุมกำลังสันดาปภายในจะผิดกฏหมาย และบีบให้ผู้ผลิตต้องขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ คือวิธีที่บีบบังคับกันมากเกินไป
โดยแม้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ทางสหภาพยุโรปจะยอมผ่อนผัน และปรับแก้มาตราการใหม่ โดยระบุว่าพวกเขายอมที่จะให้ผู้ผลิตยังสามารถขายรถขุมกำลังสันดาปภายในต่อไปได้ หลังปี 2035 หากมันมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น 0 (กรัม/กิโลเมตร)
แต่ทางผู้ผลิตก็มองว่ามันคือเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่จะทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียง 9 ปี ต่อจากนี้เช่นกัน ซึ่งเราจะสังเกตได้จากการที่ตอนนี้มีรถยนต์หลากหลายโมเดลต้องถูกถอนจากการทำตลาดไปแบบงงๆ ด้วยเหตุผลคือไม่ผ่านมาตรฐานมลพิษ ทั้งๆที่บางทีเครื่องยนต์ของมันก็ยังใหม่อยู่

ซึ่งสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะอัตราการเพดานมลพิษที่รถสามารถปล่อยออกมาได้ ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรปนั้น ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ผู้ผลิตสามารถทำได้ กล่าวคือ ในระหว่างปี 2025-2029 รถที่จำหน่ายในช่วงปีนี้ จะต้องปล่อยมลพิษเพียง 93.6 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งอาจจะน้อยกว่ามาตรฐานเก่าอยู่เพียง 15% แต่กว่าผู้ผลิตจะทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่า และกำลังรอผู้ผลิตอยู่ ก็คือรถที่วางจำหน่ายในปี 2030-2034 จะต้องมีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำลงเหลือ ไม่เกิน 49 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งจะเห็นได้ว่าลดลงกว่ามาตรฐานปัจจุบันถึงเกือบครึ่ง และแน่นอนว่าการพัฒนาขุมกำลังให้สอดคล้องกันก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
โดยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทางผู้บริหารของ Mercedes มองว่ามันอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปมากกว่าที่คิด เพราะการบีบให้ผู้ผลิตเร่งทำรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และระบบสาธารณูปโภคที่ยังไม่รองรับในวงกว้าง ก็เป็นเรื่องเสี่ยง ครั้นจะให้เร่งพัฒนาขุมกำลังสันดาปภายในให้ตอบโจทย์ข้อบังคับที่ระบุไว้ ก็ยังต้องใช้งบประมาณมหาศาลเกินไปอีก
นั่นจึงเป็นเหตุให้ Ola Källenius ในฐานะ CEO ของบริษัท Mercedes และ ประธานสหพันธ์ยานยนต์ของชาติยุโรป เลือกที่จะส่งจดหมายเปิดผนึกขอให้สหภาพยุโรป พิจารณามาตราการนี้ใหม่ก่อนที่จะสายเกินไปนั่นเอง
ข้อมูลจาก Motor1