ผ่านเวลาไปเพียงเดือนกว่าๆ ล่าสุด Dongfeng ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่ารถ M-Hero M817 ที่ทางแบรนด์พึ่งเปิดจองไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายน และเตรียมผลิตเพื่อวางจำหน่ายในประเทศจีนเร็วๆนี้ จะมีรุ่นพวงมาลัยขวา เพื่อเตรียมไว้ลุยตลาดส่งออกที่รองรับอีกด้วย

Dongfeng M-Hero M817 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในประเทศจีน โดยในทันทีที่ทางค่ายได้มีการเปิดรับจอง เจ้ารถรุ่นนี้ก็มีลูกค้าที่ให้ความสนใจวางเงินจองกันไว้มากถึง 9,713 คัน ภายในเวลาไม่ถึง 1 วัน ซึ่งนับว่าเป็นยอดจองที่ดีมากๆและรถน้อยคันนึกจะสามารถทำได้ (แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะหากลูกค้าไม่พอใจก็สามารถถอนจองได้ในภายหลังโดยไม่ถูกริบเงินจอง จึงทำให้มีลูกค้ากล้าจองรถมากขึ้นด้วย)
โดยจุดขายของรถรุ่นนี้คือการที่มันจะมาพร้อมกับงานดีไซน์ที่เน้นแสดงถึงความแข็งแกร่งในทุกสัดส่วน ทั้งกันชนหน้าแบบยกสูงด้านข้าง กระจังหน้าทรงคางหมูพร้อมช่องตะแกรงหกเหลี่ยมครึ่งล่าง, ไฟหน้า LED ดีไซน์ดุดัน คาดกรอบด้านบนด้วยแถบไฟ DRL 2 ชั้น ฝากระโปรงด้านบนเป็นแบบมีใหล่ยกด้านข้าง เพิ่มความบึกบึน คิ้วซุ้มล้อที่ดูโป่งออกจากแนวตัวถังชัดเจน และอื่นๆอีกมากมายที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตัวรถพร้อมลุยขนาดไหน
สิ่งที่กลับกัน ก็คือภายในห้องโดยสารตัวรถ กลับถูกตกแต่งด้วยงานออกแบบที่ดูหรูหรา ทั้งจากการใช้วัสดุหนังหุ้มแทบทุกชิ้นส่วน ตั้งแต่เบาะนั่ง แผงข้างประตู ยันคอนโซลหน้า มาพร้อมกับชุดหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่ คอนโซลกลางพร้อมบาร์จับ และยังมีลูกบิดปรับตำแหน่งเกียร์ที่มีหน้าปัทม์นาฬิกาแบบดิจิตอลใส่มาให้ด้วย

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตยิ่งกว่า GWM Tank 500 ที่อยู่ในบ้านเรา เจ้า M817 จึงมาพร้อมกับขุมกำลังปลั๊กอิน-ไฮบริด แบบ REEV ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร เอาไว้ปั่นไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าและหลัง ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 912 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 1,280 นิวตันเมตร
ซึ่งช่วยให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 4.2 วินาที แถมยังมีแบตเตอรี่ที่ขนาดใหญ่พอจะทำให้รถสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วยระยะทางไกลสุดถึง 200 กิโลเมตร/ชาร์จ
โดยในขณะที่สเป็คต่างๆของตัวรถถือว่าค่อนข้างจัดเต็ม ราคาสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศจีนของมัน กลับมีตัวเลขเริ่มต้นที่ 329,900 หยวน หรือราวๆ 1,485,000 บาทเท่านั้น และในรุ่นท็อปสุด ก็ยังคงอยู่ในช่วง 359,900 หยวน หรือราวๆ 1,620,000 บาท เท่านั้น
และนั่นก็นับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว หากมันจะถูกส่งไปทำตลาดในประเทศอื่นๆทั่วโลก ด้วยราคาที่ไม่หนีจากนี้มากนัก หรือต่อให้มีการเพิ่มราคาเป็น 2 ล้านต้นๆสำหรับการจำหน่ายในบ้านเรา ก็เชื่อว่ามันยังคงดูคุ้มค่าอยู่ดีเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา ที่เหลือแค่รอลุ้นกันว่าตัวรถร่างพวงมาลัยขวาที่ทางค่ายกำลังจะขึ้นไลน์ผลิตนั้น จะมีโอกาสถูกนำมาเปิดตลาดในประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไหร่กันก็เท่านั้น