Home » KIA เปรยทำ “รถอเนกประสงค์ พื้นฐานกระบะ” สู้ Ford Everest, Toyota Fortuner
ข่าวต่างประเทศ ข่าวสารยานยนต์

KIA เปรยทำ “รถอเนกประสงค์ พื้นฐานกระบะ” สู้ Ford Everest, Toyota Fortuner

เป็นปกติอยู่แล้ว ที่รถกระบะ มักมีร่างอเนกประสงค์ทำตลาดคู่กัน เพื่อสร้างความคุ้มทนในการพัฒนาให้กับเหล่าผู้ผลิต และแนวคิดนี้เอง ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาด้วยเช่นกัน สำหรับรถกระบะอย่างเจ้า Tasman ของ KIA

KIA Tasman อาจไม่ได้เป็นรถกระบะทีมีหน้าตาหล่อเหลาในสายตาชาวโลกหลายๆคนมากนัก แต่ด้วยความแปลก และออพชันที่สู้กับเจ้าตลาดได้ของมัน จึงทำให้มันเองก็ได้กระแสตอบรับในด้านบวกไปอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากมันดีมากพอจริงๆ ทางค่ายก็อาจจะทำร่างอเนกประสงค์ของมันออกมาเพิ่ม

“ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี” ในการพัฒนารถ Tasman ร่างอเนกประสงค์ขึ้นมา จากคำบอกเล่าของ Graeme Gambold หัวหน้าวิศวรของ KIA ออสเตรเลีย กับสื่อ CarSales และผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด ก็ระบุเสริมอีกว่า “หาก Tasman ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี, จากนั้นเราถึงจะมีโอกาสในการทำมันมากขึ้น, ดังนั้นตอนนี้เราจึงควรเน้นไปที่รถ Tasman ก่อน”

“(ตอนนี้) ขอเราพักหายใจก่อนสักครู่, เพราะสื่อก็ถามเราเกี่ยวกับรถกระบะมาตลาด 10 ปี ที่ผ่านมาแล้ว” ให้ทีมพัฒนาได้เย็นลงกันบ้าง หลังกว่าจะเห็น Tasman ออกมาได้ ก็ต้องสู้กับทั้งฝ่ายบริหาร และการเลี่ยงตอบคำถามสื่อมานานพอแล้ว

จากประโยคในข้างต้น จึงเท่ากับว่าทางผู้บริหารของ KIA ไม่ได้มีการปฏิเสธแนวทางที่จะทำรถ Tasman ร่างอเนกประสงค์ใดๆ และในขณะเดียวกันอาจดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มแผนพัฒนาตัวรถโดยคร่าวๆเอาไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ จนถึงขนาดที่วิศวกรทีมพัฒนา ยังสามารถบอกระยะเวลาในการพัฒนาคร่าวๆได้

แต่เนื่องจากการทำรถยนต์อเนกประสงค์พื้นฐานกระบะ ยังถือเป็นเรื่องใหม่ของแบรนด์ เช่นเดียวกับรถกระบะอย่าง Tasman เองก็ด้วย

จึงทำให้ทางผู้บริหารระดับสูง ต้องขอพิจารณาทิศทางของรถร่างกระบะก่อน ว่ามันจะสามารถไปต่อในตลาดมากน้อยแค่ไหนในขณะที่มันต้องสู้กับรถกระบะอย่าง Ford Ranger และ Toyota Fortuner ที่กำลังได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีตลาดรถกระบะใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลก และเป็นตลาดแรกที่ KIA ส่ง Tasman ลุยตลาดก่อนใครในเวลานี้

โดย KIA Tasman ถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างแบบ Ladder Frame หรือก็คือ ตัวถังวางบนแชสซีย์ ตามฉบับรถกระบะสายแบก และใช้งานดีไซน์ทรงกล่อง แข็งแกร่ง บึกบึน เพื่อบ่งบอกถึงความพร้อมลุยของตัวรถ

มาพร้อมขุมกำลังเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 209 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร กับขุมกำลังเบนซิน เทอร์โบ 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 281 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 421 นิวตันเมตร ซึ่งทั้งหมดจะทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และมีให้เลือกทั้งรุ่นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ แบบ Part-Time สามารถรองรับน้ำหนักในการลากจูงได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม

จากตัวเลขข้างต้น จะเห็นได้ว่าตัวรถสามารถนำไปปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงเป็นรถอเนกประสงค์ได้สบายๆ เหลือแค่เพียงว่าท้ายที่สุดยอดขายของมันจะดีพอให้ทางค่ายได้หวังไปต่อหรือไม่ ส่วนจะมีการนำมาขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยด้วยมั้ย ก็ยังไม่มีใครบอกได้ในตอนนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.