ครั้งหนึ่ง เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo คือขุมกำลังที่ทาง Ford หมายมั่นปั้นมือให้เป็นขุมกำลังหลักของทั้ง Everest และ Ranger ทว่าตอนนี้กลับส่อแววว่าพวกเขากำลังจะถอดใจจากมัน และหันไปอัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ให้มีบทบาทมากขึ้นแทน

จากการเปิดเผยข้อมูลของ Ford กับสื่อในออสเตรเลีย ระบุว่าภายในต้นปีหน้าพวกเขาจะยกเลิกการทำตลาดรถ Everest และ Ranger ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ทั้งหมด และจะมีการนำเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ ไปใส่ในไลน์อัพของรถยนต์ทั้ง 2 ตระกูลมากขึ้น
ส่วนใครที่ไม่ต้องการใช้เครื่องยนต์บล็อคใหญ่ ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะทาง Ford จะทำการอัพเกรดสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว เพิ่มเติมด้วย ทั้งในส่วนของการเปลี่ยนไปใช้ระบบโซ่ราวลิ้น และอัพเกรดระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยขณะที่ตัวเลขแรงม้า และแรงบิดสูงสุด ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่าจะขยับขึ้นจากเดิมอีกมากน้อยแค่ไหน แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.2 Ddi MaxForce ของ Isuzu ขึ้นไปอีกแน่นอน แม้ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงม้ามากกว่าคู่แข่งรายนี้อยู่แล้วก็ตาม
และเพื่อเป็นการการันตีในเรื่องประสิทธิภาพตัวรถ พวกเขาจึงยืนยันว่าในปีหน้า เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบเดี่ยว ลูกที่ได้รับการปรับจูนใหม่นี้ จะได้ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ส่งต่อมาจากเครื่องยนต์ 2.0 Bi-Turbo แน่นอน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทาง Ford ระบุว่า เป็นไปเพื่อยกระดับทั้งสมรรถนะและความทนทานให้กับขุมกำลังในทั้ง Everest และ Ranger ให้สูงขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนระบบขับราวลิ้น ที่เปลี่ยนจากสายพานเปียก เป็นโซ่ขับ ตามคำเรียกร้องของผู้ใช้สักที หลักจากที่ถูกบ่นกันมานานเรื่องอายุการใช้งานมานาน โดยเฉพาะในฝั่งเครื่องยนต์ 2.0 Bi-Turbo ที่ชิ้นส่วนนี้จะมีอัตราการเสื่อมสภาพเร็วกว่าบล็อคเทอร์โบเดี่ยวพอสมควร
ส่วนสาเหตุที่ว่าแล้วทำไมทางแบรนด์จึงไม่อัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 Bi-Turbo ให้เปลี่ยนไปใช้ระบบโซ่ราวลิ้น และอัพเกรดพละกำลังเพิ่มเติม
ก็คาดว่าจะเป็นเพราะนั่นอาจทำให้ขีดความสามารถของเครื่องยนต์ลูกนี้ยิ่งใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบ ที่เป็นตัวขายบล็อคใหม่ของทั้ง Ranger และ Everest ในตอนนี้มากเกินไป จนลูกค้าลังเลที่จะเลือกซื้อ จึงตัดสินใจเลิกขายรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 Bi-Turbo ไปเลยเสียดีกว่า
อย่างไรก็ดี สำหรับตัวรถที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ซึ่งอยู่ใน Ranger Raptor จะยังคงไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดใดๆเนื่องจากสมรรถนะของตัวรถก็จัดว่าเหลือเฟือ และไม่มีคู่แข่งในตลาดใดๆมาคอยเทียบชั้น รวมถึงยังไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเรื่องมลพิษใดๆให้วุ่นวายเหมือนเครื่องยนต์ดีเซลอยู่แล้วนั่นเอง

ส่วนในประเทศไทยเอง ก็คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนสเป็คเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ไปในทิศทางเดียวกันกับรถที่ถูกส่งไปทำตลาดในประเทศออสเตรเลีย แต่จะรวมถึงการยกเลิกการขายรถเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ด้วยหรือไม่ ยังต้องรอติดตามดูกันต่อไป
