ผ่านเวลาไปเพียง 3 เดือนเท่านั้น หลังการเผยภาพครั้งแรกของว่าที่ Nissan Leaf โฉมใหม่ ล่าสุดทางค่ายก็ได้มีการออกมาเปิดเผยข้อมูลของตัวรถเพิ่ม ก่อนที่จะวางขายจริงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
All-New Nissan Leaf เตรียมปรับโฉมเข้าสู่รุ่นที่ 3 โดยคราวนี้มีการปรับภาพลักษณ์ใหม่เล็กน้อย จากรถยนต์นั่งทรงแฮชท์แบ็ค ให้กลายเป็นรถยนต์แฮชท์แบ็ค ครอสโอเวอร์ตามสมัยนิยม ด้วยการยกตัวถังให้สูงขึ้น พร้อมติดตั้งชายล่างและกรอบคิ้วซุ้มล้อด้วยวัสดุพลาสติกสีดำด้าน
จากนั้นจะมีการปรับงานดีไซน์ตัวรถใหม่ ให้มีรูปทรงดูเรียบง่าย กลมมน ตั้งแต่หัวจรดท้าย แต่ใส่รายละเอียดเส้นสายเล้กๆน้อยๆให้ตัวรถดูมีมิติตามจุดต่างๆ ทั้งฝากระโปรง กันชนหน้าพร้อมครีบปิดช่องลมตามความเร็ว และประตูบานข้าง ส่วนท้ายรถยังคงใช้ดีไซน์เสาหลังคาแบบฟาสท์แบ็คอีก
ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้มันกลายเป็นรถที่มีความลู่ลมมากที่สุดเท่าที่ทาง Nissan เคยทำมา และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.25 Cd เท่านั้น สำหรับเวอร์ชันตลาดยุโรป ส่วนตัวรถเวอร์ชันลุยตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.26 Cd เนื่องจากมีขนาดกระจกมองข้าง กับดีไซน์ชุดล้อที่ต่างออกไป เลยทำให้แอบต้านลมกว่าเล็กน้อย

และดังข้อมูลที่เคยหลุดมาก่อนหน้านี้ All-New Nissan Leaf รุ่นใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม CMF-EV ร่วมกับ Nissan Ariya ซึ่งหมายความว่ามันจะมีความอเนกประสงค์และจุดเด่นในการใช้งานที่สมกับความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% มากขึ้น ไม่ว่าจะในเรื่องของการควบคุมตัวรถที่มีศูนย์ถ่วงต่ำลง ช่วงล่างที่รองรับน้ำหนักแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดี และพื้นที่ภายในห้องโดยสารแบบราบ ไร้อุโมงค์เกียร์ และยังมีการเสริมความโอ่อ่าภายในห้องโดยสารด้วยทางเลือกหลังคากระจกพร้อมระบบปรับความทึบแสงด้วยสัญญาณไฟฟ้า e-Dimming ให้ลูกค้าได้เลือกซื้ออีก
ส่วนรายละเอียดด้านขุมกำลัง ทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมา แต่ระบุว่าตัวรถจะไม่มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก และหมายความว่ามันจะมีแค่รุ่นมอเตอร์เดี่ยวเท่านั้น และมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดราวๆ 500 กิโลเมตร/ชาร์จ และสามารถชาร์จไฟสำหรับการวิ่งในระยะทาง 200 กิโลเมตร ได้ภายในเวลา 40 นาที
โดยกำหนดการเปิดตัวแบบเวิลด์พรีเมียร์ ของ All-New Nissan Leaf จะเกิดขึ้นภายในวันที่ 18 มิถุนายน นี้ และมีประเทศเป้าหมายในการทำตลาดเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กับยุโรป เป็นหลัก ส่วนในไทยยังไม่มีวี่แววใดๆว่ามันจะถูกนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเราอีกหรือไม่
แต่ถ้ามองจากความตั้งใจให้มันเป็นรถระดับ Global Model เพื่อฟื้นคืนสถานการณ์ของบริษัทในตลาดโลกให้ได้แล้ว ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเราอาจจะได้เห็นมันถูกนำมาวิ่งทดสอบในไทย เพื่อวางแผนทำตลาดกันต่อไป