เมื่อไม่นานมานี้ Volvo อาจพึ่งตัดสินใจยุติการทำตลาดรถ V70 เพราะมันไม่ได้รับความนิยมในการใช้งานอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยช่องว่างนั้นเอาไว้ และเลือกทำให้มันเกิดใหม่เป็น XC70 แทน

ใช่ครับ Volvo XC70 ที่ทุกท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ ก็คือ Volvo V70 อดีตรถวากอนตัวดังของแบรนด์ที่กลับมาเกิดใหม่ จากตัวถังวากอน กลายเป็นรถครอสโอเวอร์ตามสมัยนิยม สังเกตได้จากความยาวของตัวถังที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับช่วงท้ายหลังแนวล้อหลัง ซึ่งเยอะกว่า XC60 อย่างชัดเจน หรือเผลอๆอาจจะเผื่อไว้มากกว่า XC90 ไปเสียอีก แม้ว่าในภาพรวมรถจะสั้นกว่า 137 มิลลิเมตร อยู่ที่ 4,815 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อที่สั้นกว่า 89 มิลลิเมตร ที่ 2,895 มิลลิเมตร ก็ตาม

และด้วยความเป็นรถรหัส 70 ดังนั้น ขนาดตัวด้านกว้าง จึงยังคงอยู่ในระดับไม่เกิน 2 เมตร ที่ 1,890 มิลลิเมตร และด้วยการยกสูงตัวรถขึ้นมา ทำให้ตอนนี้มันมีความสูงที่ 1,650 มิลลิเมตร ซึ่งก็ยังไม่ได้มากมายนักอยู่ดี

ส่วนงานดีไซน์ตัวรถ ก็ยังคงใช้เส้นสายที่คุ้นเคยของรถจาก Volvo ยุคปัจจุบัน ทั้ง ล้อขนาด 19-21 นิ้ว ลายก้านแบบเกือบทึบ, กรอบซุ้มล้อแบบกลม พร้อมการปั๊มเส้นเสริมมิติซุ้มล้อบนแก้มข้างอันเป็นเอกลักษณ์, กรอบกระจกด้านข้าง โดยเฉพาะบานหลังสุดที่ดูคุ้นตา แค่ปรับสัดส่วนใหม่ให้เข้ากับขนาดตัวรถที่เปลี่ยนไป

มือเปิดประตูแบบเก็บเรียบไปกับตัวถัง, และปรับงานออกแบบไฟหน้าใหม่เล็กน้อยให้ดูปราดเปรียวกว่า แม้จะยังคงความเป็นงานดีไซน์ค้อนสายฟ้าอยู่ก็ตาม เช่นเดียวกับชุดไฟท้าย LED แบบติดตั้งไปกับแนวกรอบประตูท้ายช่วงครึ่งบนตามฉบับรถตระกูล XC

ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมงานออกแบบด้วยคอนเซปท์ “งานดีไซน์แบบสแกดิเนเวียนเหนือการเวลา” โดยยังเน้นความมินิมอลสะอาดตา และคอนโซลหน้าก็มีเพียงหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถ ทำงานร่วมกับหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 15.4 นิ้วเท่านั้น โดยไร้ซึ่งปุ่มใดๆ แม้มันจะขัดกับงานวิจัยที่ Volvo ก็บอกเองว่าการที่รถไม่มีปุ่มใดๆให้ใช้เลย เพราะถูกรวมเอาไว้ในหน้าจอทั้งหมด จะเป็นเรื่องที่อันตรายกว่าก็ตาม

นอกนั้นตัวรถยังคงมีหน้าจอ HUD ขนาด 92 นิ้ว, คอนโซลกลาง 2 ชั้น ที่ออกแบบให้ตัวช่องวางแก้วน้ำด้านบน ให้สามารถหดเก็บเข้าไปได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่การวางของสัมภาระทางด้านล่าง และยังเพิ่มอรรถรสในการใช้งานด้วยแท่นวางโทรศัพท์พร้อมระบบไวร์เลสชาร์จ, งานตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีขาว และเครื่องเสียงคุณภาพสูงจาก Harman Kardon ดังเดิม

เสริมด้วยลูกเล่นระบบไฟแวดล้อม, ระบบปรับอากาศแบบ 3 โซน พร้อมหน้าจอสัมผัสสำหรับแยกคุมระบบปรับอากาศของผู้โดยสารตอนหลังโดยเฉพาะ ซึ่งในทางกลับกันหากบรรยากาศโดยรอบรถหนาวเกินไป เบาะนั่งคู่หลังก็ยังสามารถเปิดระบบทำความร้อนได้อีก, และ ระบบคำสั่งเสียงที่ทำงานคู่กับระบบ AI เพื่อให้มันสามารถเรียนรู้น้ำเสียงและคำพูดของผู้ใช้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการรับคำสั่งต่างๆเพิ่มเติม

ท้ายสุด คือเรื่องของพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่สามารถขยายได้มากสุดเป็น 1,456 ลิตร หรือหากมีคนนั่งหลังไปด้วย ขนาดความจุห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ก็จะลดลงไปอยู่ที่ 408 ลิตร ซึ่งเอาจริงๆก็ถือว่ามากพอสมควรแล้วสำหรับรถที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน

และด้วยความเป็นรถรหัส XC ย่อมหมายความว่าขุมกำลังของมันยังไม่ใช่ระบบพลังงานไฟฟ้า 100% แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงโดดเด่นด้วยความเป็นขุมกำลังปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเบื้องต้นทางค่ายยังไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลมากนัก ว่ารถจะใช้เครื่องยนต์แบบไหน มอเตอร์แบบใด

นอกไปเสียจากการระบุว่า สำหรับตัวรถรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ขุมกำลังของมันจะมีพละกำลังรวม 318 แรงม้า PS ช่วยให้การเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำได้ภายในเวลา 8.0 วินาที และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 21.2 kWh ซึ่งรองรับระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุด 116 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTC

ส่วนในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ก็จะได้ขุมกำลังระดับ 462 แรงม้า ซึ่งช่วยให้การเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำได้ภายในเวลา 5.3 วินาที และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 39.6 kWh ซึ่งรองรับระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุด 112 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTC

หรือหากเป็นการวิ่งด้วยพลังงานรวมทั้งจากน้ำมันเต็มถัง และไฟเต็มประจุแบตฯ รถก็จะสามารถขับเคลื่อนได้ไกลสุดถึงราวๆ 1,200 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว

ส่วนขีดความสามารถในการชาร์จไฟ สำหรับตัวรถรุ่นใหญ่ จะสามารถชาร์จไฟแบบ DC จาก 0% – 80% ได้ภายในเวลาราวๆ 23 นาที ส่วนการชาร์จด้วยไฟ AC 7 kW จะใช้เวลา 7 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จไฟจาก 0% – 100% โดยมันยังรองรับการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือมีระบบ V2L ด้วย เพียงแต่ยังไม่มีข้อมูลว่ากำลังไฟในการจ่ายออกสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่

นอกนั้นในส่วนระบบความปลอดภัยก็ยังคงจัดเต็ม ทั้งเรดาร์, เซนเซอร์, และกล้องรอบคัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับรถจาก Volvo ที่ตอนนี้ทางค่ายได้มีการเปิดรับจองแล้ว โดยจะประเดินกันก่อนในประเทศจีน ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 446,900 หยวน หรือราวๆ 2,020,000 บาท