ผ่านไป 10 ปี พอดี ลุยตลาดรถกระบะสุดเข้มข้นในไทยของ Toyota Hilux Revo ในที่สุดก็ถึงเวลาส่งไม้ต่ออย่างเป็นทางการสักทีกับ Toyota Hilux Travo ซึ่งนับเป็นเจเนอเรชันที่ 9 แล้ว ของรถยนต์ตระกูลนี้

Toyota Hilux Travo ยังคงถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม IMV แบบเดียวกับ Toyota Hilux Revo รวมถึง Toyota Hilux Champ ซึ่งเดิมทีใช้กันมาตั้งแต่ Toyota Hilux Vigo และเพื่อให้มันยังคงสามารถเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะขนาดน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 1 ตัน ทาง Toyota ก็ได้จัดการปรับปรุง และปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มนี้ใหม่ขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้มันกลายเป็นรถกระบะที่น่าใช้ขึ้นไปอีก
โดยจากการสำรวจความต้องการและโจทย์การใช้งานของลูกค้าชาวไทย ทาง Toyota พบว่านับวันลูกค้าเหล่านี้มักมีความต้องการใช้งานรถกระบะที่เดิมคือมีไว้ใช้เพื่อเป็นยานพาหนะสำหรับขนของแบกสัมภาระ ให้กลายเป็นยานพาหนะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้หนึ่งในโจทย์สำคัญของการพัฒนารถ Toyota Hilux Travo ครั้งนี้ จึงเป็นการพัฒนา และปรับปรุงให้มันกลายเป็นรถกระบะที่มีความเป็นรถยนต์นั่งมากขึ้น มอบความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ในเรื่องของหน้าตา ลูกเล่น แต่ยังรวมถึงสมรรถนะการขับขี่ในองค์รวมอีกด้วย

นั่นจึงทำให้ Toyota Hilux Travo รุ่นใหม่ จะมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต่างไปจากเดิมแทบทุกจุด เริ่มตั้งแต่งานดีไซน์ภายนอก ที่ถูกออกแบบจากทีม Toyota Australia ภายใต้นิยาม “Cyber Sumo” ซึ่งประกอบไปด้วย กันชนหน้าแบบใหม่ ที่ถูกทำให้ดูมีความบึ้งตึง มากกว่าเดิม เส้นสายกรอบโดยรวมที่ทำให้ดูเหมือนนักซูโม่ตั้งท่าพร้อมโจมตีคู่แข่งด้านหน้า, กระจังหน้าแบบช่องตะแกรงหกเหลี่ยม, กรอบไฟหน้าแบบใหม่ ที่จะถูกทำให้ดูแบน เรียวกว่าเดิม, ไฟตัดหมอกวางไว้ในตำแหน่งล่างเกือบสุด โดยจะติดตั้งขนาบข้างชิ้นกันกระแทกแนวล่างกันชน
ขยับขึ้นไปด้านบนจะพบกับฝากระโปรงแบบใหม่ ที่ถูกทำให้มีขยักหนาด้านข้าง และแบนราบตรงกลางเพื่อลดแรกกระแทกต่อผู้คนเดินถนน กรณีเกิดการชนโดยไม่ได้ตั้งใจ และทางด้านหน้าฝากระโปรงจะมีแถบคาดสีดำ ซึ่งประทับชื่อแบรนด์เป็นตัวอักษร “T O Y O T A” ไม่ใช่ตราสัญลักษณ์แบรนด์สามห่วงแบบดั้งเดิมอีกต่อไป

ด้านข้างตัวรถมาพร้อมกับงานออกแบบแก้มข้างหน้า-หลังใหม่ โดยเน้นไปที่การเพิ่มความเหลี่ยมสัน และบึกบึนใหม่มากกว่าเดิม และจะยิ่งเห็นชัดขึ้นในรุ่น Travo Overland ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ มาแทนตัว Rocco ซึ่งมีการติดตั้งชุดคิ้วซุ้มล้อเสริมเข้ามา
และจากด้านข้างตรงนี้ จะทำให้เราพบว่าตัวรถมาพร้อมกับบันไดข้างแบบใหม่ ซึ่งมีการปรับลวดลายบันไดให้เป็นแบบหกเหลี่ยมซึ่งช่วยให้การเหยียบปีนมีความมกระชับ มั่นคงยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดน้ำขังบนตัวบันไดข้างได้ดีกว่าเดิม ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานขณะบุกตะลุยได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการปรับลวดลายล้อขนาด 18 นิ้วใหม่ ให้ดูพร้อมลุยกว่าเดิม แถมยังเพิ่มความหนาขอบให้มากขึ้น เพื่อลดกระแสลมวนด้านข้างตัวรถ ช่วยให้รถมีความลู่ลมมากกว่าเดิม และยังปรับลดน้ำหนักให้เบากว่าเดิม พร้อมเพิ่มบันไดข้างกระบะหลังในทุกรุ่นย่อย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน
ส่วนด้านท้ายตัวรถ จะมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ไฟท้ายให้ดูใหญ่โตมากขึ้น และยังใช้ดวงไฟเบรกแบบ LED โดยไฟท้ายยังคงเป็นหลอดไส้ และปรับฝากระบะท้ายให้เป็นแบบปั๊มนูนใหญ่โตมากขึ้น และปั๊มตัวอักษรชื่อแบรนด์ขนาดใหญ่ไว้บนฝากระบะท้าย แทนการใช้โลโก้แบรนด์แบบดั้งเดิม

ภายในห้องโดยสาร ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมดเพื่อเพิ่มความทันสมัย ทั้งการตัดระเบียบเส้นสายคอนโซนหน้าและคอนโซลกลางให้เป็นเส้นตรงมากขึ้น เพื่อเพิ่มความทะมัดทแมงในการใช้งาน โดดเด่นด้วยชุดหน้าจอมาตรวัด และจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว ที่ยกมาจาก Toyota Camry พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ปรับเปลี่ยนหน้าตาพวงมาลัยใหม่ ให้มีความเป็นเหลี่ยมสันมากขึ้น ซึ่งเป็นพวงมาลัยแบบเดียวกับ Land Cruiser FJ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าหน้า
ปรับฝาปิดช่องเก็บของที่คอนโซลกลาง ให้มีความยาวมากขึ้น เพื่อการวางแขนที่สะดวกสบายกว่าเดิม ปรับตำแหน่งปุ่มปรับลูกเล่นการทำงานต่างๆภายในห้องโดยสารที่คอนโซลกลางใหม่ ให้ใหญ่ขึ้น และจับได้ถนัดมือมากขึ้น และใมนรุ่นบนๆยังมีการเพิ่มช่องถาดสำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย รวมถึงยังมีปุ่มปรับโหมดการขับขี่เข้ามา และมีการเพิ่มปุ่มปรับระบบเบรกมือไฟฟ้า รวมถึงช่องวางแก้วน้ำตรงกลาง ที่สามารถยกถาดออกได้ เพื่อเพิ่มขนาดช่องให้ใหญ่ขึ้นได้อีก
นอกจากนี้ บนคอนโซลหน้าด้านข้าง ยังมีช่องวางแก้วน้ำพร้อมฝาปิดเพื่อความเรียบร้อย เสริมด้วยช่องเก็บของตามจุดต่างๆรอบห้องโดยสารที่ให้มารอบคัน และยังมีการเพิ่มระบบลำโพงสูงสุดถึง 8 จุด โดนมี 2 จุดติดตั้งไว้ด้านบนห้องโดยสารเพื่อเพิ่มมิติเสียงให้กว้างยิ่งขึ้น
เบาะนั่งถูกปรับดีไซน์ใหม่ ให้มีความกระชับ และซับแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากถนนผ่านช่วงล่าง แชสซีย์ และโครงห้องโดยสารได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเหนื่อยล้าขณะขับใช้งานเป็นระยะทางไกลๆได้เป็นอย่างดี และในรุ่นบนๆ ยังมีการเพิ่มระบบปรับไฟฟ้า พร้อมตัวปรับ Lumbar Support มาให้ตามสมัยนิยม

ในส่วนการปรับปรุงเชิงโครงสร้าง จะมีทั้งการปรับปรุงพื้นห้องโดยสารให้แข็งแรงยิ่งขึ้นเพื่อลดความโคลงตัว และเปลี่ยนบูชยางรองตัวถังใหม่ ให้เป็นแบบ Shear Type เพื่อการซับแรงสั่นสะเทือนจากแชสซีย์ก่อนถ่ายไปสู่ห้องโดยสารได้ดียิ่งขึ้น
ตัวแชสซีย์เอง ก็มีการปรับใหม่ ให้มีความแข็งแรงมากกว่าเดิม รวมถึงปรับสัดส่วนแชสซีย์ช่วงใต้ห้องเครื่องใหม่ ให้รองรับกับชุดระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ด้านหน้าใหม่ และโช้คอัพใหม่ ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนสัดส่วนยกแผงเช่นกัน เพื่อให้มันสามารถจัดการกับแรงสั่นสะเทือน และการเข้าโค้งได้ดีกว่าเดิม
เช่นเดียวกันในส่วนของโครงสร้าง หรือแชสซีย์ด้านหลัง ก็มีการเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างบริเวณเหนือแหนบด้วยการใส่แผ่นเหล็กดามไว้ด้านในช่วงบนเพิ่มอีกหนึ่งชั้น และปรับเซ็ทแหนบกับโช้คใหม่เช่นกัน เพื่อให้มันสามารถซับแรงสั่นสะเทือนได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน และยังช่วยลดอาการท้ายขวางที่เป็นจุดอ่อนของ Revo ได้ดียิ่งขึ้นอีก
นอกจากนี้ ทาง Toyota ยังมีการปรับปรุงจุดยึดแร็คพวงมาลัยใหม่ เปลี่ยนรูปแบบยางรองแท่นเครื่องเป็นแบบไฮดรอลิก เพื่อลดการสั่นสะเทือนที่จะคอยรบกวนผู้ใช้ในห้องโดยสาร และยังมีการเพิ่มระบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS มาให้อีก ซึ่งทาง Toyota ระบุว่าพวกเขาได้มีการปรับจูนให้มันสามารถแปรผันความหนืด และความหนักของพวงมาลัยได้อย่างเหมาะสมในทุกย่านความเร็วมากที่สุด โดยอ้างอิงจากความชอบของคนไทยเป็นหลักอีกด้วย
และท้ายสุด คือการเพิ่มระบบดิสก์เบรกหลังพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้าเข้ามาในรุ่นกลางขึ้นไป เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับลูกค้าหัวสมัยใหม่

ด้านเครื่องยนต์ คราวนี้ทาง Toyota ตัดสินใจพักการใช้เครื่องยนต์ 2GD-FTV ไปก่อน และใส่เครื่องยนต์ 1GD-FTV ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบ เข้าไปในทุกรุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ 2 ล้อ ตัวถังตอนเดี่ยว ตอนครึ่ง หรือ 2 ตอน เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานรถได้อย่างเต็มกำลัง แม้ว่ามันจะยังคงให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เท่าเดิมก็ตาม
ระบบส่งกำลังเอง ก็ยังคงมีให้เลือกทั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือ ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด อัตราทดเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาในคราวนี้ คือการเพิ่มโหมดการขับขี่ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่โหมดของเครื่องยนต์ แต่ยังรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนในตัวรถรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีทั้งโหมด ทางเรียบ, ทางลื่น, ทางทราย, ทางโคลน, และทางหิน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ด้วยการที่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ได้ถูกถอดพักออกไป ทาง Toyota จึงได้มีการปรับปรุงระบบเกี่ยวข้องเครื่องยนต์ใหม่ ให้ช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ให้น้อยลง ทำให้เครื่องยนต์ 2.8 มีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่าเดิม 7.5% จนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรเลยทีเดียว

สำหรับลูกค้าสายรักษ์โลก คราวนี้ Toyota ยังมีการทำ Travo-e ซึ่งเป็นรถกระบะ Chassis Base ขุมกำลังพลังงานไฟฟ้า 100% เป็นครั้งแรกของแบรนด์เข้ามาอีกด้วย โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ตัวรถจะมีการเปลี่ยนไปใช้ขุมกำลังมอเตอร์คู่ ให้กำลังรวมสูงสุด 196 แรงม้า
โดยมอเตอร์หน้าจะมีแรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร และด้านหลังมีแรงบิดสูงสุด 269 นิวตันเมตร โดยจะทำงานร่วมกันในลักษณะของระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ที่สามารถแปรผันอัตราการกระจายแรงบิดได้ตามโหมดการขับขี่และสถานการณ์การใช้งานของตัวรถ และยังมีการปรับเปลี่ยนระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบ Di-Dion เพื่อให้สอดรับกับรูปแบบขุมกำลัง
ด้านแบตเตอร่ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ในมแชสซีย์ พร้อมโครงกันกระแทกด้านล่างอย่างดี จะมีขนาด 59.2 kWh ซึ่งรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 315 กิโลเมตร NEDC และสามารถชาร์จไฟระบบ DC ได้ด้วยกำลังไฟสูงสุด 125 kW แถมยังสามารถลุยน้ำได้ลึกสุดถึง 700 มิลลิเมตร ซึ่งอาจไม่สูงมากนัก แต่ทาง Toyota ระบุว่าตัวเลขสมรรถนะข้างต้น ถือว่าอยู่ในจุดที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของรถรุ่นนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ หรือการใช้งานในระบบฟลีทบริษัทพอใจแล้ว

และท้ายสุด คือการเพิ่มระบบ Toyota Safety Sense 3.0 ซึ่งจะประกอบไปได้วยระบบบความปลอดภัยขั้นสูง ทั้ง Adpaptive Cruise Control พร้อมระบบ Stop&Go, ระบบ Blind Spot, ระบบป้องกันการออกนอกเลน และอื่นๆอีกมากมายเข้ามา
โดย Toyota Hilux Travo พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในวันนี้ และสำหรับเฟสแรก จะมีการวางจำหน่ายเฉพาะรุ่นที่เป็นตัวถังแบบขับสองยกสูง (Prerunner) และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (4Trex) เท่านั้น โดยจะแบ่งเป็นรุ่นย่อย และราคาดังนี้
- Toyota Hilux Travo 4Trex 2.8 MT – Standard Cab : 774,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex 2.8 AT – Standard Cab : 826,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Smart 2.8 MT – Smart Cab : 789,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Smart 2.8 AT – Smart Cab : 839,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Premium 2.8 MT – Smart Cab : 859,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Premium 2.8 AT – Smart Cab : 909,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex Premium 2.8 MT – Smart Cab : 984,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex Premium 2.8 AT – Smart Cab : 1,029,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Smart 2.8 MT – Double Cab : 895,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Smart 2.8 AT – Double Cab : 945,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Premium 2.8 MT – Double Cab : 949,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Premium 2.8 AT – Double Cab : 999,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex Premium 2.8 MT – Double Cab : 1,090,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Overland 2.8 AT – Double Cab : 1,102,000 บาท
- Toyota Hilux Travo Prerunner Overland Plus 2.8 AT – Double Cab : 1,176,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex Overland 2.8 AT – Double Cab : 1,292,000 บาท
- Toyota Hilux Travo 4Trex Overland Plus 2.8 AT – Double Cab : 1,366,000 บาท
- Toyota Hilux Travo-e 4Trex – Double Cab : 1,491,000 บาท
