RIDDARA RD6 กระบะไฟฟ้าคันแรกของประเทศไทย พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ด้วยราคา 899,000 บาท
RIDDARA RD6 กระบะไฟฟ้าคันแรกของประเทศไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ หลังจากที่ได้มีการปล่อยข้อมูลตัวรถโดยคร่าวอยู่พักใหญ่ตั้งแต่ต้นปี ว่ามันจะถูกนำมาทำตลาดในประเทศไทยเราแน่นอนภายในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2024
โดยจุดขายที่น่าสนใจของเจ้ากระบะไฟฟ้าคันนี้ ก็นับว่ามีอยู่หลายข้อด้วยกัน แต่เราจะเริ่มจากการที่ แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นรถกระบะที่เกิดมาเพื่อเน้นการใช้งานสมบุกสมบัน หรือใช้ขนของแบกหาม ในลักษณะเดียวกันกับรถกระบะกลุ่มน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 1 ตัน อย่างที่ชาวไทยคุ้นเคยกัน
เพราะมันคือรถกระบะ ที่เกิดมาโดยเน้นไปที่การเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นหลัก เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการรถเอาไว้ใช้งานในเมืองสักคัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถพาลูกๆไปสันทนาการตามแหล่งท่องเที่ยวใกล้ธรรมชาติ หรือพาไปแคมปิ้งตามอุทยานยอดนิยมที่ทางเข้าไปได้โหมดมากนักทั้งหลายได้อยู่
ซึ่งพอมองโจทย์ในลักษณะข้างต้น หลายคนอาจจะมองว่า หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากรถอเนกประสงค์ หรือรถครอสโอเวอร์ที่ชาวไทยรู้จักกันดีสิ ?
แต่สิ่งที่ RIDDARA RD6 มี แต่เหล่ารถยนต์ครอสโอเวอร์ไม่มี หรือให้ได้ไม่เท่า ก็คือ มันมาพร้อมกับความสามารถในการใต่ทางชันสูงสุด 90% (ของมุมไต่ 45 องศา) หรือก็คือสามารถไต่เนินชันได้มากสุดราวๆ 40 องศา และยังสามารถลุยน้ำได้ลึกสุด 815 มิลลิเมตร โดยมีความสูงใต้ท้องรถที่ 225 มิลลิเมตร
นอกจากนี้ ด้วยความเป็นรถกระบะ มันจึงมีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระที่กว้างขวาง ด้วยขนาดกระบะท้ายยาว 1,525 มิลลิเมตร x ด้านกว้าง 1,450 มิลลิเมตร x ด้านสูง 540 มิลลิเมตร จนได้ความจุ 1,200 ลิตร ซึ่งยังไม่นับพื้นที่เหนือกระบะที่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะสามารถจินตนาการเทิร์นของสูงตามความสามารถของตนเองได้อีก
ซึ่งหากพื้นที่เก็บสัมภาระดังกล่าวยังไม่มากพอ ในรุ่นบนสุดยังมีช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าความจุ 70 ลิตร และที่เก็บของใต้เบาะแถว 2 อีก 48 ลิตร เพิ่มเข้ามาอีก
และแม้เราจะระบุข้างต้นว่ารถกระบะไฟฟ้าคันนี้ เกิดมาโดยมีจุดขายมากกว่ารถกระบะทั่วไปคือ การเน้นความสะดวกสบาย และไม่ได้เน้นในเรื่องของการบรรทุกของสัมภาระมากนัก แต่ทางค่ายก็ระบุว่ามันสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้มากถึง 1,030 กิโลกรัม และสามารถรองรับน้ำหนักในการลากจูงได้สูงสุดอีก 3,000 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้ด้อยกว่ารถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลที่ชาวไทยคุ้นชินกันเท่าไหร่นัก
ทว่าท้ายที่สุด ด้วยการใช้ขุมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า การแบกน้ำหนักที่มากในระดับดังกล่าว จึงอาจทำให้มันส่งผลถึงระยะทางในการวิ่งสูงสุดต่อชาร์จที่หดหายลงไปพอสมควร จนเหลือแค่เพียงราวๆ 50-60% จากที่เคลมไว้ใน Spec Sheet เท่านั้นเอง (เรื่องนี้ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัดออกมา แต่ทางค่ายยอมรับว่าการแบกของสัมภาระที่หนักมากๆ จะมีผลถึงระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จพอสมควรจริง)
นอกจากนี้ ด้วยการใช้พื้นฐานแพลตฟอร์ม Multiplex Attached Platform (M.A.P) ซึ่งต่อยอดมาจากแพลตฟอร์ม Sustainable Experience Architecture (SEA) อีกทอดหนึ่ง ซึ่งอันที่เจ้าแพลตฟอร์มอย่างหลังนี้ ก็มีรถยนต์อย่างน้อย 2 รุ่นแล้วที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ในการสร้างมาก่อน ได้แก่ รถแฮชท์แบ็ค ZEEKr 001 กับ รถคูเป้ครอสโอเวอร์ Polestar 4 (แบรนด์ลูกของ Volvo)
และเมื่อโครงสร้างโมโนค็อกแบบรถครอสโอเวอร์ บวกกับการใช้ชุดยางหน้ากว้างเพียง 235 มิลลิเมตร จับคู่กับชุดล้อขนาด 17 หรือ 18 นิ้ว แล้วแต่รุ่นย่อย ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ (ด้านหน้าแม็คเฟอสันสตรัท/ด้านหลังอิสระมัลติลิงค์) ไม่ได้ใช้โครงสร้างแบบ Body on Frame และช่วงล่างหลังแบบแหนบ จึงทำให้มันไม่เหมาะสำหรับการนำมาบรรทุกของหนักๆ ขับลากยาวๆเหมือนรถกระบะที่เราคุ้นชินกันอยู่ดี แค่เปรียบเสมือนกับเป็นรถอเนกประสงค์ (เจาะจงที่กลุ่ม SUV ไม่ใช่ PPV) ที่มีพื้นที่เก็บสัมภาระใหญ่ เยอะเป็นพิเศษก็เท่านั้น
แน่นอน สิ่งที่แลกมาจากการใช้โครงสร้างแบบรถครอสโอเวอร์ การใช้ช่วงล่างอิสระ ก็คือการมอบความสะดวกสบายในเรื่องพื้นที่ในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากระยะฐานล้อที่ยาวถึง 3,120 มิลลิเมตร และมีขนาดตัวที่ใหญ่ด้วยตัวเลข 5,260 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,900 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง และ 1,880 มิลลิเมตร ในด้านสูง
และแน่นอนว่ายังรวมถึงความสามารถในการซับแรงของช่วงล่างเวลาขับผ่านรอยต่อต่างๆบนผิวถนนที่ดียิ่งกว่ารถช่วงล่าง(หลัง)แหนบแบบรถกระบะทั่วๆไป ตามหลักทางกายภาพ ส่วนการใช้งานจริง จะเป็นเช่นนั้นมั้ย ? ยังต้องรอการเก็บข้อมูลทดสอบขับจริงกันต่อไป
ด้านรายละเอียดตัวแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับประเทศไทย จะมีการวางจำหน่ายด้วย ทางเลือก 2 ระบบขับเคลื่อน แบ่งขนาดแบตฯอีก รวมทั้งหมดเป็น 4 รุ่นย่อย ที่แตกต่างกันไป นั่นคือ
รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ขุมกำลังมอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 272 PS และมีแรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 7.3 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Electronic Limit) พร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Economy, Comfort, และ Sport
- แบตเตอรี่ Litium Iron Phosphate ขนาด 63 kWh, มอบระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จที่ 373 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC, รองรับกำลังไฟในการชาร์จด้วยระบบไฟ DC สูงสุด 90 kW และสามารถชาร์จไฟจาก 30% – 80% ได้ภายในเวลา 32 นาที ส่วนการชาร์จไฟด้วยระบบ AC กำลังสูงสุด 6.6 kW จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 20% – 100% ภายในเวลา 7.8 ชั่วโมง
- แบตเตอรี่ Litium Iron Phosphate ขนาด 73 kWh, มอบระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จที่ 461 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC, รองรับกำลังไฟในการชาร์จด้วยระบบไฟ DC สูงสุด 110 kW และสามารถชาร์จไฟจาก 30% – 80% ได้ภายในเวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จไฟด้วยระบบ AC กำลังสูงสุด 6.6 kW จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 20% – 100% ภายในเวลา 9.3 ชั่วโมง
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD ขุมกำลังมอเตอร์คู่ กำลังสูงสุด 428 PS และมีแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.5 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง (Electronic Limit) พร้อมโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ได้แก่ Sand, Mud, Off-Road, Wading, Economy, Comfort, และ Sport
- แบตเตอรี่ Litium Iron Phosphate ขนาด 73 kWh, มอบระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จที่ 424 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC, รองรับกำลังไฟในการชาร์จด้วยระบบไฟ DC สูงสุด 110 kW และสามารถชาร์จไฟจาก 30% – 80% ได้ภายในเวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จไฟด้วยระบบ AC กำลังสูงสุด 6.6 kW จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 20% – 100% ภายในเวลา 9.3 ชั่วโมง
- แบตเตอรี่ Tenary Lithium ขนาด 86 kWh, มอบระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จที่ 455 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC, รองรับกำลังไฟในการชาร์จด้วยระบบไฟ DC สูงสุด 100 kW และสามารถชาร์จไฟจาก 30% – 80% ได้ภายในเวลา 32 นาที ส่วนการชาร์จไฟด้วยระบบ AC กำลังสูงสุด 6.6 kW จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 20% – 100% ภายในเวลา 11 ชั่วโมง
ในด้านออพชันอื่นๆของตัวรถ ด้วยความที่มันคือรถซึ่งเน้นไปที่ความสะดวกสบายในการใช้งานมากกว่ารถกระบะทั่วๆไป ดังนั้ัน ภายในห้องโดยสารของมันจึงจัดเต็มไปด้วยลูกเล่นต่างๆ ทั้ง
- หน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 10.2 นิ้ว แบบ Full LCD (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh) และ 10.25 นิ้ว (เฉพาะรุ่น 2WD 63 kWh)
- เบาะนั่งภายในโดยสารหุ้มหนังสังเคราะห์ทุกรุ่นย่อย
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
- เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
- ระบบระบายอากาศในเบาะคู่หน้า คู่หลัง (เฉพาะรุ่น 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh และเป็นออพชันที่สามารถสั่งซื้อแยกในภายหลังได้สำหรับรุ่น 2WD 73 kWh)
- เบาะหลังพับได้ 60:40
- กระจกหน้าต่างไฟฟ้า 4 บาน พร้อมระบบสวิทช์ One-Touch และระบบป้องกันการหนีบ (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
- หน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 14.6 นิ้ว (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh) และ 12.3 นิ้ว (เฉพาะรุ่น 2WD 63 kWh) รองรับระบบ Apple CarPlay, Carbit Link ทั้ง 2 แบบ
- ระบบสั่งการด้วยเสียง ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย สำหรับรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh (รุ่น 2WD 63 kWh สั่งการได้เฉพาะระบบภาษาอังกฤษ)
- ระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi
- ระบบเครื่องเสียงสูงสุด 8 ตำแหน่ง
- แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย 50 วัตต์ (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone
- ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- เบาะปรับเอนแบบ One Touch (เฉพาะรุ่น 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
- ระบบควบคุมระยะไกลผ่านแอพพลิเคชัน (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
นอกจากนี้ ยังมีระบบอำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานเข้ามาครบครันในแทบททุกรุ่นย่อย ทั้ง
- กล้องมองหลังขณะถอยจอด สำหรับรุ่น 2WD 63 kWh
- กล้องมองรอบคัน 540 องศา พร้อมระบบจำลองภาพใต้ท้องรถ สำหรับรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ระบบ Auto Hold
- ระบบควบคุมสเถียรภาพ
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน
- ระบบป้องกันอาการล้อหมุนฟรี
- ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน
- ระบบตรวจจับลมยาง สำหรับรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh
- ระบบถุงลมนิรภัย 4 จุด สำหรับรุ่น 2WD 63 kWh และ 6 ตำแหน่ง สำหรับรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh
- การเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านหน้า
- ระบบล็อคประตูหลังสำหรับเด็ก
- ยางอะไหล่ T145/80 R18 สำหรับรุ่น 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh ส่วนอีก 2 รุ่นล่างสามารถซื้อแยกได้ในฐานะออพชันเสริม
ส่วนระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือ ADAS จะมีให้เฉพาะใน 3 รุ่นบนอย่าง 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh เท่านั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วย
- ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนัมติแบบแปรผัน
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
- ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน
- ระบบเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา
- ระบบเตือนก่อนเปิดประตู
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่
นอกจากนี้ ในเรื่องของการตกแต่งและลูกเล่นภายนอกตัวรถเอง หากไม่นับเรื่องงานออกแบบที่ขึ้นอยู่กับรสนิยม มันก็มาพร้อมกับสิ่งหน้าสนใจมากมาย ทั้ง
- กระจังหน้าพร้อมตัวอักษรชื่อแบรนด์ RIDDARA แบบ LED (เฉพาะ 3 รุ่นบน)
- ไฟหน้า LED
- ไฟ DRL
- ไฟท้าย LED แบบคาดยาว
- บันไดข้าง (เฉพาะรุ่น 4WD)
- บันใดท้ายกระบะ เฉพาะรุ่นบนสุด
- ราวหลังคาอลูมิเนียม เฉพาะรุ่น 4WD
- ตะขอลากจูง เฉพาะรุ่น 4WD
- กระบะท้ายปลดล็อคด้วยไฟฟ้า
- กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
- กระจกมองข้างพับไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
- กระจกมองข้างพร้อมระบบไล่ฝ้า เฉพาะรุ่นบนสุด
- ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น 2WD 73 kWh, 4WD 73 kWh, 4WD 86 kWh)
ด้วยความเป็นรถกระบะซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานสันทนาการ หรือการแคมป์ปิ้งกับครอบครัว มันจึงมาพร้อมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอีกข้อ คือ ระบบจ่ายไฟ V2L กำลังไฟรวมสูงสุด 6000 วัตต์ โดยผู้ใช้สามารถสั่งจ่ายไฟได้ทั้งในขณะจอด, ขณะล็อครถ, หรือแม้กระทั่งขณะขับขี่ ก็ยังทำได้ซึ่งมีน้อยค่ายนักที่ให้ฟังก์ชันนี้มา
RIDDARA RD6 พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ ด้วยราคาแบ่งออกตามรุ่นย่อยคือ
- RIDDARA RD6 – 2WD 63 kWh : 899,000 บาท
- RIDDARA RD6 – 2WD 73 kWh : 999,000 บาท
- RIDDARA RD6 – 4WD 73 kWh : 1,149,000 บาท
- RIDDARA RD6 – 4WD 86 kWh : 1,299,000 บาท