หลังจากเกิดข้อครหาจากชาวไทยทที่กำลังจะซื้อรถ OMODA C5 EV ว่าทำราคาสูงเกินไปจนยอดขายไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ล่าสุดเปิดตัว OMODA C5 EV MY2025
ภายนอกออกแบบภายใต้การสะท้อนตัวตนผู้ขับขี่คนรุ่นใหม่ เริ่มที่กระจังหน้าทรงปิดทึบรูปตัว X พร้อมตัวอักษร OMODA ขนาดใหญ่ติดขอบฝากระโปรงหน้าล้อมด้วยขอบไฟ DRL LED ซ้าย-ขวาโอบรับกับตัวรถถัดลงมาเป็นไฟหน้าแบบ LED matrix แนวตั้งซ้าย-ขวา หลังคารถออกแบบอย่างเฉียบขาดเทียบชั้นรถยุโรปพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวและล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ภายในหรูโออ่าสบายกับออปชันประจำรถทั้งจอสัมผัสคู่ขนาดใหญ่ 2 จอ 24.6 นิ้ว โดยมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ และจอสัมผัสอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแบบ Dual Screen ขนาดแต่ละฝั่งขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay กับ Android Auto พร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สาย ปุ่ม Push Start พร้อมกุญแจรีโมท Keyless Entry
ล็อกและปลดล็อกรถอัตโนมัติเพียงเดินเข้าใกล้หรือเดินออกจากรถในระยะไกล เบาะนั่งหุ้มวัสดุกึ่งหนังแท้ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง สามารถพับได้ในส่วนของเบาะหลัง 60:40ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารหรือ Ambient Light มากถึง 64 สี ลำโพงคุณภาพจาก SONY 8 จุด
เครื่องปรับอากาศแยกส่วนอุณหภูมิซ้าย-ขวา เบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold โดยในรุ่น MY2025 ปรับระดับที่เก็บสัมภาระท้ายให้ต่ำลงจากรุ่นเดิมโดยเมื่อปรับระดับพื้นที่ให้ต่ำลงเหลือ 432 ลิตร และมาตรฐาน 380 ลิตรและระบบอุ่นเบาะจะมีในรุ่น Long Range MAX
ขุมพลังไฟฟ้าล้วนปรับใหม่เพิ่มพลังใหม่เป็น 211 แรงม้า แรงบิด 288 นิวตันเมตรจากเดิม 204 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตรจากมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ Permanent magnet synchronous reluctance motor ขับเคลื่อนล้อหน้า ความจุแบตเตอรี่ Lithium iron 61 kWh วิ่งไกลสุด 505 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 172 กิโลเมตรต่อชั่วโมงให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 7.2 วินาที
ชาร์จสองรูปแบบทั้งชาร์จกระแสสลับหรือช้า AC รองรับสูงสุด 9.9 kW ภายในเวลา 6-7 ชั่วโมง และชาร์จกระแสตรง DC รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 80 Kw ภายใน 28 นาที ได้ 30-80% พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง ECO Normal และ Sport ให้ทุกกิจกรรมสนุกสนานโดยไร้ข้อจํากัดด้วย V2L (Vehicle-to-load) ทำให้มีพลังงานไฟฟ้าพร้อมใช้งาน และอำนวยความสะดวกต่อความต้องการพลังงานไฟฟ้าของผู้ใช้ ขนาด 3.3 kW
ความปลอดภัย Safety มาพร้อมระบบช่วยผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มากถึง 17 ระบบโดยรุ่น Long Range Dynamic ตัดระบบ ตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ DMS นอกนั้นให้มาครบทั้ง 2 รุ่นย่อยทั้งรุ่นย่อยใหม่ Long Range Dynamic และ Long Range MAX โดยลดราคาทุกรุ่น 250,000 บาท เหลือเพียง 649,000 และ 699,000 บาท ตามลำดับ พร้อมสีใหม่ สีน้ำเงิน Mid Night Blue ภายในสีทูโทนขาวน้ำเงินในรุ่น ในรุ่น Long Range MAX