Mitsubishi Destinator คือรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยพื้นฐานร่วมกันกับ Mitsubishi Xforce โดยนำเสนอขนาดตัวที่ใหญ่กว่า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการโดยสารที่มากขึ้นไปอีกขั้น

Mitsubishi Destinator มาพร้อมกับงานออกแบบภายในคอนเซปท์ Gravitas/Dynamicsm/Timeless Modernity เน้นเส้นสายแข็งแกร่ง และหนักแน่น ดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้องมาที่มัน ด้วยกลิ่นอายที่คล้ายกับ Xforce แต่ถูกปรับให้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งจากดีไซน์โป่งข้างที่ดูใหญ่โตกว่า ร่องซุ้มล้อที่มีความลึก และช่วยให้รถดูมีความบึกบึน พร้อมลุยมากยิ่งขึ้น
โดยยังคงไว้ซึ่งกระจังหน้าแบบ Dynamic Shield, ไฟหน้า-ไฟท้าย LED แบบตัว T นอนข้าง (โดยที่ไฟเลี้ยวด้านท้าย ยังเป็นเกล็ดเล็กๆเช่นเดิม), และยังมีลูกเล่นรายละเอียดตามส่วนต่างๆไม่เว้นแม้กระทั่งแถบรีดลมเสา C ที่ใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มลุคล้ำสมัยให้กับรถอย่างเต็มเปี่ยม
ขนาดตัวรถ มีตัวเลขด้านสูง 1,780 มิลลิเมตร x ด้านยาว 4,680 มิลลิเมตร x ด้านกว้าง 1,840 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้อ 2,815 มิลลิเมตร และยังถูกออกแบบให้มีมุมปะทะ 21 องศา, มุมคร่อม 20.8 องศา, มุมจาก 25.5 องศา, รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร, และความสูงใต้ท้องรถที่มากถึง 244 มิลลิเมตร เพื่อการบุกตะลุยที่คล่องตัวมากขึ้น

ภายในห้องโดยสาร คอนโซลหน้าแทบจะยกเบ้าเดียวกันกับ Mitsubishi Xforce มาใส่ ทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital ขนาด 8 นิ้ว หรือ จอขนาด 4.2 นิ้วลูกผสมกับมาตรวัดเข็มขวา แล้วแต่รุ่นย่อย, แผงจอระบบอินโฟเทนเมนท์ ขนาด 12.3 นิ้ว และ 8 นิ้ว แล้วแต่รุ่นย่อย, หรือแม้แต่แผงปุ่มกับจอแสดงผลระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone เองก็เหมือนกันทั้งหมด
และด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า มีภาพลักษณ์หรูหรา เป็นผู่ใหญ่มากกว่า ทาง Mitsubishi จึงได้ปรับงานดีไซน์ช่องแอร์ใหม่เล็กน้อยให้ดูเต็มตา และมีกรอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้แต่คอนโซลกลางเอง ก็ดูใหญ่โตกว่าเดิม พร้อมแบ่งสัดส่วนการวางตำแหน่งคันเกียร์, ปุ่มคุมโหมดการขับขี่ และเบรกมือไฟฟ้ากับระบบ Auto Hold ที่ดูลงตัวกว่า แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ฟังก์ชันระบบไฟ Ambient Light 64 เฉดสี มาให้ด้วย
ขณะที่เบาะนั่งคู่หน้า ระบุว่าถ้าเป็นรุ่นบน จะได้เบาะหนังสังเคราะห์ พร้อมระบบรักษาอุณหภูมิของเบาะไม่ให้พุ่งสูงเกินไปเวลานั่งใช้งานนานๆ ส่วนตัวล่างจะได้เบาะผ้า และที่เบาะหนังทั้งแถว 2 กับ แถว 3 สามารถปรับพับราบได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บสัมภาระ มีพอร์ทชาร์จไฟ USB-C/USB-A มาให้สำหรับเบาะนั่งทุกแถว, มีถุงลมนิรภัยมาให้ทั้งหมด 6 จุดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ภายในห้องโดยสาร พร้อมหลังคาพาโนรามิค ในรุ่นบนเพื่อเพิ่มความโปร่งสบาย และความโรแมนติคขณะใช้งานยามค่ำคืน
ซึ่งหากทั้งหมดนั้นยังไม่พอ ลูกค้าก็สามารถเลือกซื้อรถที่มาพร้อม Premium Package ที่จะมาพร้อมฟังก์ชันฝาท้ายเปิดด้วยไฟฟ้าแบบ Hand Free, เบาะนั่งปรับไฟฟ้า, และระบบเสียง Dynamic Sound YAMAHA Premium กับลำโพง 8 ตำแหน่งได้อีก
ขุมกำลังตัวรถ เลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4B40 1.5 ลิตร MIVEC Turbo ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า PS ที่ 5,000 รอบ/นที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,500-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติเกียร์ CVT เพื่อขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลังทอร์ชันบีม ทำงานร่วมกับระบบเบรกแบบดิสก์เบรกมีครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ และเลือกใช้ล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 225/55 R18
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ก็มีทั้ง ระบบ AYC, TC, ABS, และ เสริมด้วยโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ Normal, Wet, Gravel, Tarmac, MUD ตามด้วยระบบ Mitsubishi Daimond Sense หรือระบบ ADAS ที่จะประกอบไปด้วยฟังก์ชันย่อยทั้ง FCM, LCDN, RCTA, ACC, AHB, BSW และระบบกล้องรอบคัน กับเซนเซอร์ใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Mitsubishi Destinator ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาสำหรับในตลาดประเทศอินโดนีเซีย ส่วนการลุยตลาดในประเทศไทย ก็คาดว่าจะตามมาในเร็วๆนี้ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินล้วน แต่เป็นเครื่องยนต์ HEV แบบ Xforce และ Xpander ที่ขายอยู่ในบ้านเราอยู่แล้วแทน