GWM ขอตอบแทนชาวไทยที่รักและชื่นชอบ GWM TANK 300 DIESEL ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 และมียอดส่งมอบสะสมทะลุ 6,000 คันเป็นที่เรียบร้อย

เปิดตัวรุ่นพิเศษจำนวนจำกัดอย่าง GWM TANK 300 DIESEL DESERT STORM จับรุ่นท็อป ULTRA 4WD แต่งพิเศษ ด้วยสีภายนอก Sand Beige สุดโดดเด่น กระจังหน้าโลโก้ TANK ขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ชุดแต่งฝากระโปรงหน้าคิ้วกันกระแทกประตูด้านข้าง ฝาครอบล้ออะไหล่และฝาครอบไฟท้ายดีไซน์เฉพาะ ชุดสเกิร์ตกันชนหน้า–หลังที่ช่วยเพิ่มบุคลิกดุดันและสะท้อน DNA ออฟโรด ได้อย่างชัดเจน
พร้อมไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมพร้อมไฟ LED Daytime คิ้วขอบล้อสีดำดุดันด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Continental Cross Contact RX แบบ HT หลังคาซันรูฟแบบเปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้าและราวหลังคา เสาอากาศ Shark Fin ด้านท้ายดีไซน์ตั้งตรงพร้อมฝาท้ายขนาดใหญ่ห้อยยางอะไหล่ไว้ดูมีเอกลักษณ์ดีตามสไตล์ออฟโรดและไฟท้าย Vertical LED

ภายในหรู ทันสมัย กว้างขวาง สะดวกสบาย และใส่ใจในทุกรายละเอียด แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ร่วมสมัยช่องแอร์ทรงกลม มาตรวัด Full LCD 12.3 นิ้ว จอสัมผัส LCD ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เชื่อมต่อและการควบคุมรถจากระยะทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน GWM ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับผู้ขับขี่ทุกมิติ
เชื่อมต่อ พอร์ต USB ด้านหน้าและด้านหลัง ลำโพงคุณภาพรอบคัน 8 จุดจากค่าย Infinity เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และ Ionizer ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง (12V) และช่องจ่ายไฟสำรอง (220V) ไฟสร้างบรรยากาศภายในมากถึง 64 สี Ambient light
เบาะนั่งหุ้มหนัง NAPPA leather ตัดเย็บประณีต คู่หน้าปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 8 ทิศทางและคนนั่งปรับ 4 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงจากรถเบาะหลังตอนที่สองพับได้ 60/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกของมากถึง 1,635 ลิตร เมื่อพับเบาะ

ดีเซลเทอร์โบแปรผันขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังถึง 184 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตรสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 11 วินาที ตอบสนองที่ฉับไวนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด สามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสม
มาพร้อมโหมดการขับขี่ 9 โหมด ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) และโหมดการขับขี่แบบออฟโรด ได้แก่ โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตราทดเกียร์ต่ำ (4L) โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นหิน โหมดพื้นทราย โหมดภูเขา โหมดพื้นหลุมบ่อ และโหมดผู้เชี่ยวชาญ ติดตั้งระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body transparent) ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรด
เพื่องานลุยทุกสถานการณ์ด้วยล็อกเฟืองขับด้านหลัง (Electric Differential Lock for front and rear axles) เพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อนพร้อมโหมด crawl mode และ Off-road Cruise Control เหมาะสำหรับถนนออฟโรดที่มีสภาพซับซ้อน หลังจากเปิดฟังก์ชันแล้ว ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วคงที่ และ Body Transparent ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ ระบบจะจดจำข้อมูลภาพจากกล้องระหว่างการขับขี่

พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า ปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับทั้ง Light, Comfort และ Sport ยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่และความปลอดภัยมาเต็มรูปแบบ จำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น โดยมีราคาเพิ่มจากเดิม 70,000 บาท ที่ 1,349,000 บาท พร้อมการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี)