CHERY ค่ายรถแดนมังกรกลับมาลุยตลาดเมืองไทยอีกครั้งหลังหายไปกว่าทศวรรษ ประเดิมรุ่นแรกในไทยกับ CHERY V23 อีวีทรงกล่องสไตล์ลุย

Boxy SUV คันนี้มาจากพื้นฐานของ iCAR V23 ที่โด่งดังในจีนเหลี่ยมเท่บึกบึนด้วยไฟหน้า LED Matrix Adaptive ทรงกลมพร้อมไฟ DRL แบบ LED 2 เส้นในโคมเดียวกัน และเส้นแนวนอนขอบไฟหน้า พร้อมกระจังหน้าทรงทึบสีดำคาดเส้นแนวนอนสีเดียวกับตัวรถติดตรา CHERY กันชนหน้าแนวนนอนกลมกลืนกับชุดบังโคลนหน้าพร้อมไฟเลี้ยว LED
ด้านข้างคล้ายกับ Land Rover Defender ด้วยการดีไซน์เสา A-D เหลี่ยมและหนักแน่นสร้างความโดดเด่นให้กับตัวรถเท่ด้วย ช่องระบายอากาศแนวตั้งสีดำติดที่บังโคลนหน้าซ้าย-ขวา กระจกมองข้างทรงตั้ง ที่เปิดประตูแบบยกก้าน คิ้วขอบล้อทรง 4 เหลี่ยมดุดัน และเสา C กับ D มาในทรงทึบไม่มีกระจก
ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED ขนาดเล็กแนวนอน พร้อมฝาท้ายเปิดบานใหญ่แบบเปิดด้านข้างและปิดด้วยระบบดูดไฟฟ้า กันชนหลังใหม่สีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟถอย LED พร้อมกล่องขนาดเล็กลงเก็บสัมภาระในตำแหน่งเดียวกับที่ห้อยยางอะไหล่สไตล์รถลุยยุค 90 ล้ออัลลอยเลือกได้ 2 ขนาดตั้งแต่ขนาด 19 นิ้วและขนาดใหญ่ 21 นิ้ว

ภายในปรับคลุกเคล้าเข้ากันคเริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน เปลี่ยนมาใช้โลโก้ตัวอักษรแทนตัว i ออกแบบหนังสัมผัสใหม่รูปตัวยูที่แผงคอนโซลหน้าทรงถึกสี่เหลี่ยมพร้อมออปชันเด่นทั้ง มาตรวัดดิจิทัล LCD รวมในจอสัมผัสขนาดใหญ่ 15.4 นิ้วชัดแบบ 2.5 K ประมวลแม่นยำด้วยชิฟ Qualcomm Snapdragon 8155 อัพเดททั้งเฟิร์มแวร์และซอฟท์แวร์อัตโนมัติผ่านระบบออนไลน์ (OTA-Over The Air) ช่วยให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยตลอดเวลา พร้อมลำโพง 7 จุด กุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC (NFC Card)
ห้องโดยสารนั่งสบายพร้อมบันทึกตำแหน่งเบาะที่นั่ง (Memory seat) รองน่องปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง (4-Way Electric Leg support) ปรับอุณหภูมิของเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าของรถ รองรับการขับขี่ออฟโรดด้วยวัสดุภายในที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความรู้สึกสบายสำหรับผู้ขับขี่ มีกล่องเก็บของด้านท้ายความจุ 90 ลิตร และเมื่อพับเบาะแบบ 50/50 มีพื้นที่ 744 ลิตร และโทนสีภายใน 3 สีทั้ง สีขาว สีเขียวทหาร และสีเทาเข้ม
สเปกไทยมา 2 ทางเลือกด้วยรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP ความจุ 59.93 kWh วิ่งได้ไกลสุด 360 กิโลเมตร (NEDC) และ รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่เพิ่มมอเตอร์ล้อหน้าเข้ามา 75 แรงม้า แรงบิด 112 นิวตันเมตร ผสมกับมอเตอร์ล้อหลัง 136 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกัน ให้กำลังรวม 211 แรงม้า แรงบิด 292 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP ความจุ 81.8 kWh วิ่งได้ไกลสุด 430 กิโลเมตร (์NEDC)
พร้อมโหมดการขับขี่ ECO, Normal, Sport ส่วนในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ iWD intelligent electric 4-wheel drive เพิ่มมาอีก 3 โหมดรวมทั้งหมด 6 โหมดได้แก่ , Snow, Mud, Sand ให้ความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ชาร์จได้ทั้งแบบกระแสตรง DC รองรับการชาร์จสูงสุด 85 และ 104 kW จาก 30-80% และกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 6.6 kW มีเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้ ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ 3.3 kW และระบบดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) และความปลอดภัย ADAS
เตรียมเปิดตัวและราคาจำหน่ายในเดือนกันยายนี้เปิดขาย 3 รุ่นย่อยทั้งรุ่น PLAY 2WD, PLUS 2WD และ PEAK 4WD คาดว่าราคาจำหน่ายเริ่มต้น 750,000-950,000 บาท