ในวันที่ตลาดรถเอ็มพีวีสุดหรูกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในที่สุด Nissan Elgrand เจเนอเรชันที่ 4 ก็ได้เผยโฉมขายจริงออกมาสักที

Nissan Elgrand โฉมใหม่ปี 2026 เคยปรากฏตัวมาแล้วครั้งหนึ่งในฐานะรถต้นแบบ Hyper Tourer Concept ที่เปิดตัวในงาน Japan Mobility Show ปี 2023 ซึ่งหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือรถตัวอย่างที่มีความอลังการในการออกแบบพอสมควร
และสำหรับตัวรถเวอร์ชันขายจริงคันนี้ ก็ได้นำเส้นสายที่ว่ามาปรับแต่ง ลดความเตี้ยติดพื้น แล้วเพิ่มเส้นขอบล้อกับรายละเอียดบริเวณด้านหน้า อย่างชุดไฟหน้า LED กับกระจังหน้าแบบพิกเซล เช่นเดียวกับไฟท้ายพิกเซล กับการตวัดเส้นสายให้ดูปราดเปรียว ทั้งสปอยเลอร์ และกันชนด้านหลัง เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงมากกว่าเดิม
ซึ่งหากมองในภาพรวม มันก็ยังคงดูเป็นรถเอ็มพีวีที่มีความโฉบเฉี่ยวติดตัวมากกว่าใครในตลาด ณ เวลาปัจจุบันอยู่ดี ตามนิยามการออกแบบที่เรียกว่า “Timeless Japanese Futurism”

ภายในห้องโดยสารเองก็ถูกปรับใหม่ โดยเน้นความโอ่อ่าในห้องโดยสารเป็นหลัก และใส่ความทันสมัยลงไปอีกให้เข้ากันกันกับงานออกแบบตัวถังด้านนอก กับคอนโซลหน้าแบบแบ่งเลเยอร์ 2 ชั้น พร้อมไฟแวดล้อมที่จะฝังอยู่ในแนวเส้นแบ่งชั้นดังกล่าวลากยาวไปจนถึงแนวแผงประตูรอบคัน ซึ่งจะถูกตกแต่งด้วยชิ้นงานวัสดุพลาสติกหุ้มหันงปั๊มลายพิกเซล และคุมสีเป็นแบบทูโทน ดำ-ม่วง เพื่อความลึกล้ำ
เมื่อกลับมาที่คอนโซลหน้าอีกครั้ง ผู้ขับจะพบกับชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบใหม่ และชุดหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนท์ และหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถ ขนาดจอละ 14.3 นิ้ว ติดตั้งเป็นแผงเดียวกัน และด้านล่างชุดจอกลางที่ว่านั้น ก็จะมีแผงปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ และถัดลงมาอีก ก็จะเป็นแท่นแผงปุ่มคุมตำแหน่งเกียร์กับปุ่มคุมไฟฉุกเฉินและอื่นๆอีกเล็กน้อย และล่างสุดยังมีพอร์ทชาร์จไฟ USB-C 2 ตำแหน่ง กับแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายอีก 2 ตำแหน่งเช่นกัน
ถัดมาในฝั่งคอนโซลกลาง จะเป็นที่ตั้งของช่องวางแก้วน้ำแบบมีฝาปิด และปุ่มสตาร์ทรถ กับปุ่มคุมระบบเบรกมือไฟฟ้า และด้านท้ายช่องเก็บของขนาดใหญ่ ก็จะมีรูปลั๊ก 220 โวลท์ ให้ผู้โดยสารตอนหลังสามารถเสียบอแดปเตอร์ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นแล็ปท็อปเพื่อเปิดทำงานขณะเดินทางได้อีก
หากสะดวกสบายไม่พอ ผู้โดยสารตอนหลังยังมีชุดจออินโฟเทนเมนท์ติดตั้งด้านหลังหัวหมอนผู้โดยสารตอนหน้า ทำงานร่วมกับชุดลำโพงคุณภาพสูงจาก BOSE จำนวน 22 ตำแหน่งรอบคัน แม้กระทั่งบนหัวหมอนของเบาะนั่งแถวหน้าสุด โดยที่เบาะหลังยังเป็นแบบกัปตันซีท พร้อมระบบปรับไฟฟ้า ระบบนวด และที่รองน่องเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด

ด้านขุมกำลังตัวรถ ถูกระบุว่าจะเป็นขุมกำลัง Nissan e-Power เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับระบบขับเคลื่อนนี้โดยเฉพาะ และชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากับหม้อแปลงไฟที่ถูกย่อส่วนรวมกัน เพื่อความกระทัดรัดและยังปรับปรุงให้สามารถแปลงพลังงานจากกระแสไฟให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก
นอกจากนี้ ตัวมอเตอร์ขับเคลื่อนที่ว่า ยังจะให้มาพร้อมกันสูงสุดถึง 2 ตัว เพื่อแยกกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าและคู่หลัง ในลักษณะของระบบขับเคลื่อน e-4ORCE ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดได้ละเอียดระหว่างชุดล้อทั้ง 4
และท้ายสุด ทางค่ายยังได้มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง Nissan ProPILOT เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ซึ่งมีความสามารถในการขับเคลื่อนรถด้วยตนเองอัตโนมัติที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายขณะใช้งานในเมืองได้เป็นอย่างดี

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทย ก็ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อยเนื่องจากทาง Nissan ได้มีการนำตัวรถรุ่นนี้มาวิ่งทดสอบแบบติดสติ๊กเกอร์ลายพรางบนถนนเมืองไทยกันนานนับปีแล้ว อยู่ที่ว่าทางแบรนด์จะพร้อมเปิดตัวในบ้านเราเมื่อไหร่ก็เท่านั้น


















